เอชเอสบีซีรุกธุรกิจไพรเวทแบงกิงเอเชีย

นายตัน ซิว เมิ่ง ประธานฝ่ายบริการการเงินลูกค้ารายบุคคล (ไพรเวทแบงกิง) ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของธนาคารเอชเอสบีซี เผยว่าธนาคารกำลังตั้งทีมบริหารความมั่งคั่งในเอเชีย เพื่อดูแลลูกค้าที่มีสินทรัพย์ 30 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป ส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มการจ้างงานในแผนกไพรเวทแบงกิงเอเชียอีก 700 ตำแหน่ง ภายในปี 2565

นายตัน ไม่ได้เผยรายละเอียดทีมงาน แต่เอชเอสบีซีได้จ้างบุคลากรมากฝีมืออย่างน้อย 2 คน มาร่วมทีมใหม่นี้แล้วโดยจ้างนายแกเบรียล ตัม จากแบงก์ออฟอเมริกาคอร์ป มาเป็นหัวหน้าฝ่ายโซลูชันบริหารความมั่งคั่ง ดูแลลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินจากไพรเวทแบงกิงและวาณิชธนกิจของเอชเอสบีซี และได้นายเอริก เบิร์กวิสต์ จากจูเลียสแบร์ มาเป็นหัวหน้าฝ่ายจัดการแผนกบริหารความมั่งคั่ง

เอชเอสบีซี ซึ่งมีฐานปฏิบัติการในกรุงลอนดอนของอังกฤษ ให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์ไพรเวทแบงกิงเอเชีย นายจอห์น ฟลินต์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารมีแผนรุกตลาดนี้ตั้งแต่จีนแผ่นดินใหญ่ไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ขณะนี้  บริษัทจัดการสินทรัพย์ทั่วโลกต่างเล็งเหล่าอภิมหาเศรษฐีในเอเชีย หวังมาช่วยสร้างผลกำไรให้บริษัท แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะเจ็บหนักจากตลาดหุ้นร่วงเมื่อปลายปี 2561 ก็ตาม

ด้านโกลด์แมนแซคส์ ซิตี้กรุ๊ป และเจพีมอร์แกนเชส เป็นธนาคารเอกชนที่จับกลุ่มลูกค้าอภิมหาเศรษฐีในเอเชียไปเรียบร้อยแล้ว

ความเคลื่อนไหวของเอชเอสบีซีสอดรับกับรายงานล่าสุดจากไนท์แฟรงค์ที่ว่า จำนวนมหาเศรษฐีพันล้านของเอเชียจะเพิ่มขึ้น 27% ไปอยู่ที่ 1,003 คน ภายในปี 2565 คิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของทั้งโลก เทียบกับสัดส่วนการเติบโตของอภิมหาเศรษฐีในอเมริกาเหนือและยุโรป อยู่ที่ 17% และ 18% ตามลำดับ

นอกจากนี้  เอเชียยังมีผู้ที่มีสินทรัพย์สุทธิอย่างน้อย 30 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นมากที่สุด อันดับ 1 คืออินเดีย39% ตามด้วยฟิลิปปินส์ 38% จีน 35% อินโดนีเซีย 32% เวียดนามและมาเลเซีย 31% เกาหลีใต้ 30% ส่วนโรมาเนีย ไทย และโปแลนด์เพิ่มขึ้นเท่ากัน 29%

อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มคนรวยจะยิ่งรวยขึ้น แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้นเช่นกัน มีมหาเศรษฐีจำนวนมากขึ้นในเอเชียที่มีแผนจะรักษาความมั่งคั่งของตนด้วยเงินสด และลดการลงทุนในสินทรัพย์ซึ่งมีความเสี่ยงจากทิศทางในตลาด เช่น ทองคำหรือพันธบัตร

การที่เศรษฐกิจเอเชียเติบโตช่วยหนุนการลงทุนซื้อสินค้าหรูทั่วโลก ปีที่แล้วลูกค้าซื้อบ้านราคาตั้งแต่ 2 ล้านปอนด์ขึ้นไปในลอนดอน มาจากจีนและฮ่องกงราว 1 ใน 4 เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านั้น