สู้ไม่ถอย! “ไมเดีย” แอร์จีน ตั้งเป้าไต่มาร์เก็ตแชร์เบียดกิมจิ-ปลาดิบ ขึ้นที่3
ไมเดีย รุกหนักตลาดแอร์ในไทย ทุ่มงบตลาด 12% ของยอดขายจากเดิมไม่ถึง 4-5%ของยอดขาย ชิงส่วนแบ่งเพิ่ม2.2% เป็น13%ในปี2565 หวังแทนที่แบรนด์เกาหลี ญี่ปุ่น จากเบอร์10 ขึ้นเบอร์3ในตลาด
นายนายเฮนรี เฉิน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศประจำภูมิภาคอาเซียน บริษัท ไมเดีย เรซิเดนท์เชียล แอร์ คอนดิชันเนอร์ โอเวอร์ซี เซลส์ คอมพานี ประเทศจีน เปิดเผยถึงแผนการลงทุนรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศในอาเซียน ที่กำลังมีความต้องการเพิ่มขึ้น และเติบโตอย่างสูงว่า แม้อาเซียนจะเป็นตลาดอันดับที่ 4 เป็นรองจากจีน สหรัฐ และญี่ปุ่น แต่ถือว่ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงกว่าญี่ปุ่นและสหรัฐ จึงเป็นเป้าหมายในการเข้าไปบุกตลาดเครื่องปรับอากาศ (แอร์ คอนดิชั่นเนอร์) เพราะกลุ่มประเทศอาเซียนและจีนมีการเชื่อมโยงเศรษฐกิจจากโครงการหนึ่งเส้นหนึ่งแถบ (One Belt One Road) ที่มีความใกล้ชิดทางการค้ากันมากขึ้น จึงสร้างโอกาสในการพัฒนาการค้าและการลงทุนในตลาดระหว่างกันมากขึ้น
ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจมีแผนรุกตลาดเครื่องปรับอากาศในอาเซียน โดยมีไทยเป็นยุทธศาสตร์ ตลาดแรกที่จะชิงส่วนแบ่งทางการตลาดก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ3 ของตลาด โดยเพิ่มงบประมาณทำการตลาด 12%ของยอดขาย จากที่ผ่านมามีงบการตลาดเพียง 4-5%ของยอดขาย ซึ่งไทยมีสัดส่วน20%ของความต้องการในตลาด หรือ 2ล้านเครื่อง จากทั้งตลาดอาเซียน 10 ล้านเครื่อง
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นยังไม่มีแผนการลงทุนทั้งในไทยและในอาเซียน แต่จะส่งออกสินค้าจากฐานการผลิตในประเทศจีน เพราะอัตรากำแพงภาษีที่ลดลงจาก20%เหลือ 5%จึงทำให้แข่งขันได้ด้านต้นทุน
ด้านนายโทนี่ หลิว ผู้จัดการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ ประจำประเทศไทย กล่าวถึงภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศของประเทศไทยในปีที่ผ่านมาว่า ตลาดเติบโตลดลง 8.3% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ยอดขายของสินค้าแบรนด์ไมเดีย กลับเติบโตสวนทางตลาดในอัตรา 54% ในปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการวางกลยุทธ์ป่าล้อมเมืองบุกหนักในหัวเมืองต่างจังหวัด เพื่อเร่งสร้างยอดขายทั้งกิจกรรมทางการตลาด สร้างการรับรู้แบรนด์ เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพช่างติดตั้งเครื่องปรับอากาศและทีมแนะนำสินค้าจนกระทั่งได้รับการยอมรับในแบรนด์ไมเดีย
ในปีนี้จึงรุกหนักต่อเนื่องทั้งในต่างจังหวัด ที่มีสัดส่วน 40% ของยอดขาย และเพิ่มการเติบโตในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่มีสัดส่วน60%ของยอดขายขายด้วยการโหมกิจกรรมทางการตลาด 4ด้าน ประกอบด้วย 1.เพิ่มสินค้าจาก 1รุ่นในตลาดเป็น 20 รุ่น เพื่อเพิ่มทางเลือกสินค้าให้กับผู้บริโภค 2.การเดินหน้าขยายช่องทางการขายอย่างต่อเนื่อง ทั้งหน้าร้านทั่วไปจาก150ดิสเพลย์ในปีนี้ และเพิ่มจุดสร้างประสบการณ์แบรนด์อีก300แห่งในปีนี้ 3.สร้างแบรนด์ผ่านกิจกรรมการตลาด รวมถึงการให้บริการหลังการขาย จึงทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นและ4.ให้สิทธิประโยชน์ทีมช่างติดตั้งเครื่องปรับอากาศและทีมแนะนำสินค้า ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่จะเพิ่มยอดขาย
“การนำเสนอสินค้าคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ จากจุดแข็งที่ไมเดีย กรุ๊ป เป็นเจ้าของเทคโนโลยีและมีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ ซึ่งครอบคลุมถึงชิ้นส่วนสำคัญทุกชิ้นของแอร์จึงแข่งขันได้ โดยช่องทางจัดจำหน่าย บริษัทฯ จะเน้นการขายสินค้าใน 3 ช่องทางหลัก คือ ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและร้านขายแอร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นช่องทางหลัก,โมเดิร์นเทรด เพิ่มพาร์ทเนอร์ให้เข้าถึงลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น และการขายในรูปแบบโปรเจกต์ ทั้งในรูปแบบลูกค้าธุรกิจ( B2B) และโครงการของรัฐ (B2G)"
สำหรับเป้าหมายทางการตลาดวางแผนเพิ่มสวนแบ่งทางการตลาดจากปัจจุบัน 2.2% เพิ่มเป็น 13%ภายในปี 2565 ทำให้เพิ่มอันดับส่วนแบ่งทางการตลาด จากลำดับที่10ในปัจจุบันขึ้นเป็นอันดับ3 ภายในปี2565 และมีบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตเพิ่มขึ้นในปี 2562 ไว้ที่ 74%
“อันดับ1และอันดับ2ในตลาดมีส่วนแบ่งรวมกัน60% ส่วนอันดับที่3-10ในตลาดมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน เราเชื่อว่าจะแย่งชิงตลาดเบียดแบรนด์จากญี่ปุ่นและเกาหลีได้”
อย่างไรก็ตาม การทำตลาดในไทยยังมีความท้าทายสูงเนื่องจากต้องการรับรู้แบรนด์จีนในกลุ่มเครื่องปรับอากาศต่อผู้บริโภคในไทยยังน้อย ไมเดียเป็นหน้าใหม่เข้ามาทำตลาดในไทยเพียง 2-3ปีหากเทียบกับคู่แข่งที่ครองตลาดและทำตลาดมาก่อนกว่า20-40ปี ทำให้ไมเดียต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าคู่แข่งมากขึ้น
ทั้งนี้ ไมเดีย กรุ๊ป คือบริษัท ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งมีไลน์การผลิตครอบคลุมทุกประเภทสินค้า ก่อตั้งเมื่อปี 2511 ปัจจุบันมีโรงงานผลิต 18 แห่งในจีน และอีก 15 แห่งในต่างประเทศ มีพนักงานราว 1.3 แสนคนทั่วโลก มีการส่งออกสินค้าไปมากกว่า 200 ประเทศ ไมเดีย กรุ๊ปถูกจัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune Global 500 ประจำปีที่ผ่านมา ให้เป็นบริษัทที่มีรายได้จากการประกอบการสูงสุดลำดับที่ 323 ของโลก ทั้งยังถูกจัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes Global 2000 โดยปีที่ผ่านมามียอดขายกว่า 1ล้านล้านบาท มีกำลังการผลิต67ล้านเครื่อง