'ธนาธร' เซ็นโอนทรัพย์สิน 5,000ล. เข้า Blind Trust แยกการเมืองจากธุรกิจ
"ธนาธร" เซ็น MOU โอนทรัพย์สินมูลค่ากว่า 5,000 ล้าน ให้เอกชนจัดการเพื่อแก้ข้อครหา เล่นการเมืองเพื่อธุรกิจครอบครัว มุ่งสร้างมาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง
เมื่อวันที่ 18 มี.ค.62 ที่อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ถนนเพชรบุรี กรุงเทพฯ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จัดแถลงข่าว เรื่องแนวทางการจัดการทรัพย์สินของตนในการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองพร้อมลงนามเอกสาร MOU ซึ่งจัดทำและลงนามร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคล
โดย นายธนาธร กล่าวว่า การแถลงในวันนี้ คือแนวทางการจัดการทรัพย์สินของตนก่อนเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง พร้อมลงนามเอกสาร MOU ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่า บลาย ทรัส( blind trust) คือการนำทรัพย์สินตนเองไปให้บริษัทจัดการทัพย์สินดูแล โดยไม่มีอำนาจสั่งการและมองไม่เห็น เพื่อต้องการที่จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้วยความซื่อสัตย์ และความสุจริตใจ ไม่เบียดบังเวลาราชการไปประกอบธุรกิจ และปฏิเสธการใช้ช่องว่างของบทบัญญัติแห่งกฎหมายในการกระทำอันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม
ขณะเดียวกัน นายธนาธร บอกว่า สิ่งนี้จะเป็นการสร้างมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองใหม่ แก้ข้อสงสัย ลบข้อครหา ว่าตนเข้ามาทำการเมือง เพื่อธุรกิจครอบครัวหรือไม่ ซึ่งการทำเช่นนี้ ข้อดี คือ จะได้ไม่วอกแวก มีบุคคลมาดูแลทรัพย์สินให้ จะได้ทุ่มเทการเมืองเต็มที่ พร้อมย้ำว่า มาเพื่ออุดมการณ์ ไม่ใช่ทำให้ตัวเองรวยขึ้น หรือครอบครัว
นายธนาธร กล่าวว่า ส่วนตัวจะเก็บทรัพย์สินไว้บ้างเฉพาะที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนหุ้นทั้งหมด การลงทุนทั้งหมด ยกให้บริษัทจัดการกองทุนดูแล ทั้งนี้ ตนอยากยกระดับมาตรฐานที่สูงกว่ากฎหมายไทย ที่แค่สั่งไม่ได้ แต่ต้อง มองไม่เห็นด้วย ซึ่งต้องทำสัญญา ความเสี่ยง พร้อมแต่งตั้งสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ ที่เป็นบุคคลที่สาม มากำกับดูแลอีกขั้น แต่ส่วนตัวไม่สามารถสั่งการได้ และมองเห็นเช่นกัน จะเจอทรัพย์สิน ตนเองอีกครั้ง ก็ต้องเมื่อ เลิกเล่นการเมือง ซึ่งปลายเดือนพฤษภาคม ก็คาดว่าการโอนย้ายทรัพย์สิน จะแล้วเสร็จ
ส่วนมูลค่าทรัพย์สินจะมากน้อยเท่าใดนั้น นายธนาธร บอกว่า อีกประมาณหนึ่งเดือนถึงจะเช็กยอดได้ทั้งหมดแต่ก็คงอยู่ในกรอบ 5,000 ล้านบาท บวกลบ ส่วนจะมากน้อยแค่ไหน เมื่อเป็น ส.ส. ก็คงต้องชี้แจง
ส่วนในตัวข้อสัญญา จะระบุชัด ว่าจะไม่ซื้อหุ้นไทยทุกตัว ในตลาดหลักทรัพย์ และการจัดการกองทุนนี้ จะปลดล็อกจนกว่าตนเอง จะพ้นตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว 3 ปี รวมถึงกรณีของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้เป็นมารดา ที่จะขายหุ้นสื่อมวลชน (มติชน) ในระยะเวลาอันใกล้นี้ พร้อมย้ำว่า เมื่อครั้งที่ตนเป็นกรรมการบริหารมติชน ก็ทำอย่างสุจริต ช่วยผลักดันในหลายปี ย้ำว่า เมื่อพฤษภาคม ปีที่แล้ว ที่ลาออกมาครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ ก็ไม่มีการส่งไปนั่งเป็นกรรมการบริหาร แทนตำแหน่งตนที่ว่างไป ซึ่งนางสมพร ก็จะขายหุ้นเพื่อให้สังคมสบายใจ
ส่วนกรณีของกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ย้ำว่า เป็นธุรกิจเปิดเสรี คู่แข่ง ไม่มีคนไทย แต่แข่งขันกับต่างชาติ และไม่เคยเข้าไปเป็นคู่สัญญากับรัฐ แทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ ลูกค้าอยู่ต่างประเทศ ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท ไม่ได้มีรายได้หลักจากลูกค้าภาครัฐ ซึ่งหากในอนาคต ไทยซัมมิท จะไปเป็นคู่สัญญากับภาครัฐ ก็อยากให้สื่อ ประชาชน ช่วยกันตรวจสอบ เพราะตนไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวได้เพราะเราออกมาแล้ว และหากในอนาคต ตนมีตำแหน่งทางการเมือง ก็จะไม่เข้าไปร่วมตัดสินใจ ในเรื่องที่ไทยซัมมิททำกับรัฐ
ผู้สื่อข่าวถามถึง ในการจัดการทรัพย์สินครั้งนี้เป็นเพราะมีบทเรียนจากนักการเมืองในอดีตที่เป็นนักธุรกิจ อย่างนายทักษิณ ชินวัตร หรือไม่นั้น นายธนาธร บอกว่า ไม่ได้คิดว่าเฉพาะทักษิณ ส่วนที่หลายคนมองและเปรียบเทียบนายธนาธรกับนายทักษิณ เหมือนกันนั้น นายธนาธร บอกว่า การที่จะไม่ทำแบบนายทักษิณ คือ ซื่อตรง เมื่อลาออกแล้ว ลาออกจริง ไม่เคยกลับไปยุ่งกับธุรกิจ เชื่อมั่นในเกียรติของตนเพียงพอ แบ่งเส้นธุรกิจ กับการเมืองชัดเจน เพราะรวยขึ้นอีกพันล้าน ไม่คุ้มกับความด่างพร้อย และทำลายความฝันเปลี่ยนแปลงประเทศ ส่วนด้านการเมือง ความต่างคือ เราไม่ได้แก้ปัญหาเชิงประเด็น แต่ทำในเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่พรรคที่มีนโยบายเชิงประเด็น
ส่วนที่ออกมาจัดการทรัพย์สิน ในช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้งนั้น นายธนาธร บอกว่า เหลืออีก6 วัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่ได้หมายความว่า การกระทำเช่นนี้ เพราะดีลร่วมรัฐบาลกับใครแล้ว ตกลงกับใครแล้ว ไม่มีคุย หรือต่อสายตรง ซึ่งภารกิจแรก ต้องเปิดประตูประชาธิปไตย ย้ำว่าจะหยุดสืบทอดอำนาจ คสช. แก้รัฐธรรมนูญปี 60 และยืนยันจะไม่ร่วมพรรคพลังประชารัฐเพียงพรรคเดียวเท่านั้น
กรณีที่วันนี้มีภาพจับมือ กับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อย่างเหนียวแน่นที่ลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น นายธนาธร บอกว่า ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ตนเคารพทุกคน ส่วนจุดยืนพรรคอนาคตใหม่ กับพรรคเพื่อไทย จะเป็นคู่แข่ง หรือเป็นแนวร่วมนั้น ระบุ ทุกพรรคไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นคู่แข่งขันเพื่อหาคะแนน
ทั้งนี้ นายธนาธร แสดงความมั่นใจทิ้งท้ายว่า พรรคอนาคตใหม่จะมี ส.ส. เขตแน่นอน และมีทุกภาค ย้ำว่าไม่ใช่พักเก็บคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ และเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้จะมีประชาชนมาใช้สิทธิ์มากที่สุดเป็นประวัติการณ์