Trash Lucky ตอบโจทย์โลก ลุ้นโชคลด ‘ขยะทะเล’
ชื่นชอบการเล่นเซิร์ฟและดำน้ำ โดยปริยายก็เลยมีใจรักทะเล หลงใหลในเกลียวคลื่น แต่ในทางกลับกันก็ได้เห็นถึงปริมาณ “ขยะทะเล” จำนวนมากมายมหาศาล
เลยกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการก่อตั้ง “แทรชลัคกี้” (TRASH LUCKY) เจ้าของโครงการ “ขยะรีไซเคิลลุ้นโชค”
“ณัฐภัค อติชาตการ” (แนท) ผู้ร่วมก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แทรชลัคกี้ จำกัด เล่าว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปลายปีที่ผ่านมาคอนเซ็ปต์ของ “ขยะรีไซเคิลลุ้นโชค” ว่าด้วยการเปลี่ยนขยะรีไซเคิลให้เป็นตั๋วชิงโชคเพื่อลุ้นรางวัล ทำให้ผู้คนสามารถรีไซเคิลขยะและลุ้นรางวัลได้ภายในเวลาเดียวกัน
วิธีการเริ่มจากผู้เข้าร่วมโครงการต้องส่งขยะรีไซเคิลเข้ามา จากนั้นแทรชลัคกี้ก็จะนำเอาขยะไปขายให้กับทางโรงงานรีไซเคิลเพื่อนำไปแปรรูปเป็นวัตถุดิบแล้วผลิตเป็นโปรดักส์ใหม่ เป็นที่มาของรายได้และแทรชลัคกี้เองก็จะนำเอารายได้ส่วนหนึ่งมาเป็นรางวัลวนลูปไปอย่างนี้ ถือเป็นการแบ่งปันรายได้กลับสู่ผู้ร่วมโครงการยิ่งมีผู้เข้าร่วมมากมูลค่ารางวัลก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันรางวัลใหญ่มีมูลค่า 5,000 บาท แต่เขาตั้งเป้าว่ามูลค่ารางวัลของแทรชลัคกี้จะต้องเพิ่มเป็น 1 ล้านบาทภายในเวลาไม่เกิน 1 ปีนับจากนี้
ในหมายเหตุว่าในช่วงเริ่มต้น แทรชลัคกี้จะเปิดรับขยะเพียง 2 ประเภท เป็นขวดพลาสติกใส และกระป๋องอะลูมิเนียมเท่านั้น เหตุผลมีอยู่ว่าเพราะเป็นขยะที่มีจำนวนเยอะ ทั้งยังซื้อง่ายขายคล่อง และจากนั้นก็จะค่อย ๆ ขยายประเภทของขยะให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงขยายพื้นที่ให้บริการมากยิ่งขึ้นด้วย
มิชั่นของแทรชลัคกี้ คือการสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนนำขยะไปรีไซเคิล เพื่อลดปริมาณการทิ้งขยะรีไซเคิลสู่หลุมฝังกลบและมหาสมุทร เพราะเป็นที่รู้กันว่ามหาสมุทรทั่วโลกกำลังประสบปัญหาใหญ่จาก “ขยะ” ซึ่งไทยเราเองก็ติดอันดับที่ 6 จาก 192 ประเทศทั่วโลกที่ทิ้งขยะลงสู่ทะเล
"เวลานี้เรายังอยู่ในจุดเริ่มต้น เป็นแค่มินิไพล็อต ทำการทดลองกันเฉพาะในกลุ่มของเพื่อนฝูงคนรู้จักประมาณ 100 คน เป้าหมายก็คือภายใน 6 เดือนนี้เราอยากจะจับจุดให้เจอว่าลูกค้าเป้าหมายกลุ่มแรกควรเป็นกลุ่มไหน ซึ่งเบื้องต้นเรามองเป็นกลุ่มคนสายกรีน แต่เราคงต้องทำมินิไพล็อตอีกสองสามรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้ากลุ่มที่คิดว่าใช่ เวิร์คจริงไหม เราควรสร้างแรงจูงใจอย่างไร เงินรางวัลต้องเป็นเท่าไหร่ เพราะความท้าทายของเราอยู่ตรงขาเข้า จึงต้องหาทางดึงดูดให้คนสนใจแยกขยะส่งมาให้เรา "
และจากการทำมินิไพล็อตรอบแรก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ มีเพื่อนฝูงคนคุ้นเคยส่งขยะรีไซเคิลมาให้แทรชลัคกี้จำนวน 170 กก. เกินเป้าไปจากที่ตั้งไว้แค่ 70 กก. นอกจากนี้ขยะที่ส่งมาก็ถือว่าเป็นเกรดเอคือสามารถนำเข้าวงจรรีไซเคิลได้ทั้งหมด เนื่องจากมีการแยกขยะกันตั้งแต่ต้นน้ำ ขวดพลาสติกและกระป๋องอะลูมิเนียมไม่ได้ถูกทิ้งรวมแล้วไปปนเปื้อนกับขยะอื่น ๆไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำมัน ผ้าอ้อมฯลฯ ที่กว่าคนเก็บขยะจะเก็บแล้วนำไปคัดแยกขยะรีไซเคิลก็ไม่สะอาดพอและต้องถูกทิ้งถูกฝังกลบไปในที่สุด เพราะนำเข้ากระบวนการรีไซเคิลไม่ได้
อย่างไรก็ดี ยูนิคอร์นไม่ใช่เป้าหมายใหญ่ของณัฐภัค เพราะจุดมุ่งหวังของเขาก็คือ การช่วยเมืองไทยหลุดจากอันดับประเทศที่ทิ้งขยะลงทะเลจากอันดับ 6 ของโลกให้ลง 2-3 อันดับได้ภายในระยะเวลา 5-7 ปี แต่ถ้าในแง่ลองเทอม ก็คือ เขาต้องการทำให้ประเทศในภูมิภาคเซาท์อีสเอเชียซึ่งเป็นต้นเหตุของขยะทะเลของโลกมากที่สุดถึง 60% ลดจำนวนขยะลง
"แต่ธุรกิจจะต้องมีผลกำไร ถึงจะมีความยั่งยืน ไม่เช่นนั้นผมจะเหนื่อยกับการต้องไปเรสด์ฟันด์ตลอดเวลา เลยต้องคิดหาทางสร้างบิสิเนสโมเดลที่มีอินโนเวชั่น ที่สร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม คน ในเวลาเดียวกันต้องสร้างผลกำไรให้กับบริษัทด้วย"
หลายคนอาจอยากทำความรู้จักผู้ก่อตั้งมากยิ่งขึ้น ณัฐภัคไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ระดับมัธยมต้น และศึกษาวิศวะไฟฟ้า ทั้งระดับปริญญาตรีและโทที่ University of Southern California จากนั้นก็ทำงานด้านการออกแบบชิฟให้กับบริษัทเอเอ็มดีประมาณ 4 ปีกว่าๆ ก็กลับมาเมืองไทยทำงานให้ธุรกิจครอบครัว (เป็นผู้แทนจำหน่ายของคูโบต้า) และก็รู้ว่าการเป็นทายาทธุรกิจไม่ใช่งานที่รัก แต่มีไอเดียคิดอยากทำธุรกิจส่วนตัวจึงตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทด้านเอ็มบีเอ ที่ INSEAD ประเทศฝรั่งเศส
"ผมมองว่าถ้าไปเรียนที่อเมริกา เน็ทเวิร์คเราก็จะจำกัดอยู่แค่ในอเมริกา แต่ถ้าเลือกไปฝรั่งเศสจะสามารถขยายเน็ทเวิร์คได้เพิ่มขึ้น แต่พอเรียนจบผมกลับเมืองไทยและเข้าสู่วงการสตาร์ทอัพ โดยไปทำงานให้กับร็อคเก็ต อินเตอร์เน็ต รับตำแหน่งคันทรีเมเนเจอร์ของแอพอีซีแท็กซี่ แต่ทำไม่ถึงปีเจ้าของร็อคเก็ต อินเตอร์เน็ตก็ถอนตัวจากภูมิภาคเซาท์อีสต์เอเชียเพราะต้องอัดเม็ดเงินเยอะมากไม่เหมือนกับตลาดแอฟริกา ตะวันออกกลางหรืออเมริกาใต้ ผมเลยดาวน์ไซส์บริษัทและย้ายไปอยู่กับอินสไปร์ เวนเจอร์ ซึ่งตอนนั้นเขาเริ่มสร้างแอพ Deliveree เป็นเรื่องของโลจิสติกส์"
ถือเป็นการเรียนรู้โลกของสตาร์ทอัพซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายต้องการปั้นธุรกิจของตัวเอง ซึ่งณัฐภัคตั้งใจไว้ว่าจะทำงานให้ Deliveree จนกระทั่งสามารถเรสด์ฟันด์ในระดับซีรีส์เอก็จะยุติบทบาทของลูกจ้างเพื่อเริ่มต้นชีวิตผู้ประกอบการ (ที่สุดก็ระดมได้ 14.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสที่ 4 ปีพ.ศ. 2560)
"พอออกจากงานตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะสร้างธุรกิจอะไรดี ก็เลยออกท่องเที่ยวและมีโอกาสไปเล่นเซิร์ฟ ดำน้ำที่บาหลี รวมทั้งได้ไปนั่งคิด นั่งอ่านหนังสือ ไปค้นหาตัวเอง ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าตัวเองเป็นคนรักทะเล แต่เวลาที่เราไปเล่นเซิร์ฟก็จะเจอขยะในทะเลทุกครั้ง ซึ่งที่อเมริกาเจอไม่เยอะมากเท่าไหร่แต่ที่อินโดนีเซียแย่กว่าประเทศไทยมากโดยเฉพาะที่บาหลี ผมเลยคิดว่าต้องมีสักวันที่เวลาไปเล่นเซิร์ฟจะต้องไม่เจอกับขยะในทะเลอีกแล้ว เลยอยากสร้างธุรกิจที่มาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้"
โดยบังเอิญเขาได้เจอคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันก็คือ “วรวิทย์ วงษ์เล็ก” (กอล์ฟ) เวลานี้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ แทรชลัคกี้ ซึ่งวรวิทย์เคยทำงานเป็นลูกทีมของเขาสมัยทำงานอยู่อีซีแท็กซี่ และเป็นคนที่มีความสนใจในเรื่องการจัดการขยะมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เรียกว่าตั้งแต่เรียนระดับมัธยมวรวิทย์ก็เป็นคนริเริ่มโครงการ “ธนาคารขยะ” ให้นักเรียน 2,500 คน นำขวดพลาสติกที่ใช้แล้วเป็นเงินสด ที่ผ่านมาเขาได้รับรางวัลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมากมาย
ล่าสุด แทรชลัคกี้ เป็น 1 ในสตาร์ทอัพ 15 ทีมสุดท้ายที่ได้เข้ารอบโครงการปีที่ 17 ของ “ดีแทค แอคเซอเลอเรท” ณัฐภัค มองว่าเพราะดีแทคจะช่วยเร่งการเติบโตด้วยมีฐานลูกค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าจะให้เขาลุยทำเองก็อาจทำได้ แต่ก็ต้องใช้พละกำลังและระยะเวลาที่มากเป็นทวีคูณ
ต้องบอกว่าโครงการนี้ดีมีประโยชน์จึงอยากจะชักชวนทุกคนมาร่วมกันลดขยะทะเล ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการโดยส่งอีเมลไปที่ [email protected] และติดความเคลื่อนไหวของกิจกรรมต่างๆได้ที่ www.facebook.com/trashlucky