กลุ่มทุนจีนแชมป์ลงทุนตลาดบ้านหรูในสิงคโปร์
นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ยังคงนิยมเข้าไปลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์สิงคโปร์ โดยเฉพาะในตลาดบ้านหรู แม้ว่าปีที่แล้ว สิงคโปร์ได้ปรับขึ้นอากรสแตมป์ สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป เมื่อเดือน ก.ค.ปีที่แล้ว โดยมีผลทั้งกับคนสิงคโปร์และชาวต่างชาติ
บรรดานายหน้าขายบ้านต่างพูดตรงกันว่า กลุ่มนักลงทุนจีนยังคงเป็นนักลงทุนอันดับ1ที่เข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูหราบนเกาะแห่งนี้แม้ว่าเจมส์ เดย์สัน มหาเศรษฐีพันล้านชาวอังกฤษจะกลายเป็นข่าวพาดหัวในสัปดาห์นี้หลังจากซื้ออพาร์ทเมนท์ราคาแพงที่สุดในสิงคโปร์
กลุ่มนายหน้าขายบ้าน ระบุว่า บรรดานักลงทุนชาวจีนบางกลุ่มเลือกเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูในสิงคโปร์เพื่อใช้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยอีกทางหนึ่งในช่วงที่สหรัฐและจีนเปิดฉากทำสงครามการค้าระหว่างกัน ประกอบกับความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองบนเกาะฮ่องกง ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่นักลงทุนชาวจีนแห่เข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูในสิงคโปร์
ราคาบ้านเอกชนทะยานขึ้นอย่างไม่คาดคิดในช่วงไตรมาสสอง โดยทะยานขึ้นมากในรอบ5ปี อานิสงส์จากการที่ชาวสิงคโปร์ลงทุนในตลาดนี้เพิ่มขึ้น แต่การวิเคราะห์ล่าสุด บ่งชี้ว่า การทำธุรกรรมซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรูที่เพิ่่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากต่างชาติ
“ชาวจีนเข้ามาลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ จากตัวแปรปัญหาการชุมนุมประท้วงในฮ่องกงและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน พวกเขามองหาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนของเรา”ชันดรัน วี.อาร์ ผู้อำนวยการบริหารบริษัทคอสโมโพลิแทน เรียล เอสเตท กล่าว
ชันดรัน ซึ่งปัจจุบันทำตลาดเพนท์เฮาส์ราคา 12.8 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ กล่าวว่า ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมามีกลุ่มทุนจีนที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งเข้ามาสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์
ขณะที่อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ ของลิสต์ โซธบีย์ ระบุว่า ในช่วง3เดือนล่าสุดมีกลุ่มทุนจีนเข้ามาทำข้อตกลงซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูหราในสิงคโปร์ 4 ข้อตกลง มูลค่าประมาณ 20-30 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ มีการจดทะเบียนตลาดอพาร์ทเมนท์หรูในสิงคโปร์ จำนวน 169 แห่ง รวมมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยชาวต่างชาติและบรรดาผู้พำนักถาวรมีสัดส่วน 70% ของผู้ซื้อ ซึ่งการทำข้อตกลงซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วง6เดือนที่ผ่านมาแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2561
ช่วง2-3ปีที่ผ่านมา กลุ่มทุนจีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้ซื้อรายใหญ่สุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่อยู่อาศัยในย่านทำเลทอง โดยเข้าซื้อมากกว่าบรรดาเจ้าพ่อธุรกิจจากมาเลเซียและอินโดนีเซียแต่มาตรการลดความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งรวมถึงการที่คนสิงคโปร์ ที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 เดิมและเสียภาษีอยู่ที่ 7% จะปรับขึ้นเป็น 12% และหลังที่ 3 จะปรับขึ้นเป็น 15% จากเดิมที่ 10%
สำหรับชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในสิงคโปร์ที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเป็น 15% จากเดิม 10% และสำหรับคนต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนซื้อบ้านในสิงคโปร์จะต้องเสียภาษี 20% จากเดิม 15% ส่วนบริษัทต่างชาติที่เข้ามาซื้อบ้านในสิงคโปร์ต้องเสียภาษีอยู่ที่ 25% จากเดิม 15%
เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่า ผลกระทบมาจากมาตรการสกัดเก็งกำไรของรัฐบาล รวมไปถึงความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก กำลังส่งผลทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์อยู่ในภาวะซบเซา
ออร์เรนจ์ ที แอนด์ ไท บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า ปริมาณการทำข้อตกลงซื้อบ้านหรูในช่วงไตรมาส2 ในย่านทำเลทองของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยมในกลุ่มชาวต่างชาติที่มีฐานะร่ำรวย ซึ่งรวมถึงย่านช็อปปิ้งบนถนนออร์ชาร์ด และเกาะเซนโตซา เพิ่มขึ้นมากที่สุดของปี ขณะที่โครงการบูเลวาร์ด 88 ของบริษัทซิตี้ ดิวิล็อปเมนท์ จำกัด ที่เพิ่งเปิดตัวได้รับความสนใจอย่างมากและมีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อจำนวนมากเช่นกัน
“กระแสสังคมในปัจจุบัน และความไม่แน่นอนทางการเมืองทั่วโลก รวมถึง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และการชุมนุมประท้วงบ่อยครั้งในฮ่องกง ช่วยให้อสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกงเป็นจุดแข็งเหมือนเป็นเซฟเฮเว่นสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ”คริสตีน ซัน หัวหน้าฝ่ายวิจัยและให้คำปรึกษาของออร์เรนจ์ ที ให้ความเห็น
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสิงคโปร์จะได้รับความสนใจจากกลุ่มทุนต่างชาติอย่างมาก แต่กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ รายงานตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในไตรมาส 2 ว่าวานนี้ (12ก.ค.)ว่าเติบโตเพียงแค่ 0.1% เท่านั้น เติบโตน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.1% และยังเป็นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำที่สุดตั้งแต่หลังวิกฤติการเงินปี 2552
หลังจากสิงคโปร์เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ทำให้เกิดความกังวลถึงเศรษฐกิจในเอเชียที่กำลังจะทยอยประกาศตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 2 ว่าสัญญาณของเศรษฐกิจในเอเชียอาจย่ำแย่กว่าคาด
ภาคการส่งออกของสิงคโปร์ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ตัวเลขการส่งออกติดลบ 6% ต่อจากในไตรมาสที่ 1 ขณะที่ตัวเลขอื่นๆ เช่น ภาคการก่อสร้างยังเติบโต 2.2% ภาคบริการโต 1.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
นอกจากนี่้ ตัวเลขจีดีพีที่ออกมาทำให้เกิดความกังวลจากนักวิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์กำลังจะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค หลังจากที่ปริมาณการค้าทั่วโลกลดลงจากผลพวงของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังไม่สามารถหาทางออกได้ แม้ว่าจะมีการกลับมาเจรจากันใหม่แล้วก็ตาม
ธนาคารกลางสิงคโปร์ (เอ็มเอเอส) คาดการณ์ว่า ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในปีนี้ จะอยู่ในช่วง 1.5% ถึง 2.5% ซึ่งหลังจากตัวเลขในไตรมาส 2 ได้รับการเผยแพร่ออกมา ทำให้มีการคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสิงคโปร์อาจต้องใช้นโยบายทางการเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง