ลูกสาวอาม่าร่ำไห้ เล่าเหตุการณ์หนังคนละม้วน ปัดยักยอกเงิน 250 ล้าน
ลูกสาวอาม่าวัย 53 ปี ตั้งโต๊ะร่ำไห้แถลงข่าว โต้กลับยักยอกเงินแม่ 250 ล้าน ย้ำเงินในตระกูลไม่ได้มีล้นฟ้าขนาดนั้น แถมยังแบ่งมรดก จำนวน 30 ล้าน ให้กับพี่ชาย พร้อมเล่าความจริง จนกลายเป็นหนังคนละม้วน
จากกรณีนางฮวย ศรีวิรัตน์ และ นางสาวมินตรา ศรีวิรัตน์ หลานสาว ผู้รับมอบอำนาจ พร้อมด้วย นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ได้เดินทางไปที่ศาลแพ่งพระโขนง เพื่อยื่นฟ้องธนาคารแห่งหนึ่ง และพนักงานของธนาคาร เป็นจำเลย ที่ 1-5 และมีจำเลยที่ 6 เป็นบุตรคนที่ 2 ของนางฮวยเอง ว่ายักยอกเงินเกือบ 300 ล้าน ไปจากบัญชี ซึ่งเมื่ออาม่าทวงถามลูกสาว ก็ได้รับคำตอบว่า นำเงินใช้ไปหมดแล้ว ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ที่ร้านอาหารครัวบ้านช่าง ซอยศรีนครินทร์ 58 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ นางมาวดี ศรีวิรัตน์ อายุ 53 ปี ลูกสาวของอาม่า พร้อมด้วย นายกฤษฎา อินทามระ ทนายความ ได้แถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว
โดยนางมาวดี กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตนอยู่กับอาม่าตลอดระยะเวลา 50 ปี เมื่ออาม่าล้มป่วยก็ดูแลอย่างใกล้ชิด จะไปไหนก็ต้องรีบกลับ ต่อมาเมื่อปี 2559 อากงได้เสียชีวิต อาม่าก็มาอยู่ที่โรงงาน โดยมีครอบครัวพี่ชายดูแล จากนั้นก็เริ่มเกิดปัญหา ครอบครัวพี่ชายก็เริ่มเกิดความวุ่นวาย เข้ามายุ่งเรื่องเงินของครอบครัว เพราะคิดว่าตนได้เงินมากกว่า ทั้งๆ ที่มรดกก็แบ่งกันชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้ มีมือที่ 3 ที่ทำให้อาม่า รับข้อมูลที่ผิดเพี้ยน นอกจากนี้หลังที่อาม่าไปอยู่กับครอบครัวพี่ชาย ตนไปเยี่ยม ก็ถูกกีดกัน ไม่ให้เขาไปในโรงงาน ทำให้ตนต้องย้ายมาอยู่ที่ จ.เพชรบุรี จนกระทั่งถูกฟ้องร้องว่าเนรคุณในปี 2560 ซึ่งตนเป็นฝ่ายชนะ
ส่วนเรื่องที่ตนถูกกล่าวหาว่า เบิกเงินของอาม่า ออกมาเกือบ 250 ล้านบาท เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง จริงๆ แล้ว อาม่า ไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น ช่วงปี 2557 ที่อาม่าป่วย มีเงินในบัญชีประมาณ 100 กว่าล้าน ตอนนั้นการทำธุรกรรมค่อนข้างลำบาก รวมทั้งการสั่งจ่ายเช็คค่าใช้จ่ายของให้กับทางโรงงาน เงินเดือนพนักงาน บางครั้งอาม่าอ่อนแรงเซ็นต์ชื่อไม่สะดวก ตนจึงไปปรึกษาแพทย์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ธนาคารให้เปลี่ยนเงื่อนไขการเบิกถอนเงินเป็นการพิมพ์ลายนิ้วมือ และได้รับการยินยอมจากอาม่า และทำการถอนเงินจากบัญชีอาม่า จำนวน 4 ครั้ง มาเปิดบัญชีร่วมกันคือ "ตนและอาม่า" จากนั้นก็นำเงินไปลงทุนกองทุนรวม เพื่อเก็งกำไร ซึ่งตนยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่ถูกกล่าวหา
ทั้งนี้ เงินในบัญชีที่ตนเปิดร่วมกันกับอาม่ากว่า 100 ล้านบาท มีการแบ่งให้ตนกับพี่ชายคนละ 30 ล้าน ส่วนที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาอาม่า และค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว ส่วนที่มีการออกข่าวไปว่า ตนโกงเงินอาม่า 250 ล้าน เป็นการประโคมข่าวเกินจริง และตนเตรียมรวบรวมพยานหลักฐานฟ้องกลับในประเด็นนี้
นางมาวดี กล่าวยืนยันทั้งน้ำตาว่า ตนไม่ใช่ลูกเนรคุณ แม้จะมีการฟ้องร้องกัน แต่ในเรื่องความสัมพันธ์ ตนยังคิดถึงและเป็นห่วงแม่ ความจริงแม่ไม่น่ามาทำแบบนี้กับตนขนาดนี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และทำให้แม่เปลี่ยนไป เพราะแม่ย้ายไปอยู่กับพี่ชาย ครอบครัวของพี่ชายอยากได้มรดกเพิ่ม เขาต้องการทรัพย์สินส่วนที่อาม่าเคยยกให้เรา ทั้งๆ ที่แบ่งกันคนละ 30 ล้านแล้ว ยังอยากได้เพิ่ม จนไปสร้างเรื่องทำให้แม่เข้าใจผิด