สหรัฐ-อิหร่าน ต้องหันหน้าเจรจา
ขึ้นชื่อว่าสงครามย่อมไม่เป็นผลดีต่อใครเลย แม้ความขัดแย้งครั้งนี้ยังไม่อาจเรียกว่าเป็นสงคราม แต่การตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการให้ยูเอ็น หรือนาโต เข้าไปประสานรอยร้าว น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการหยุดการใช้อาวุธห้ำหั่นกันระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน
ช่วงเช้ามืดวันอังคารที่ 8 ม.ค.2563 ตามเวลาประเทศไทย กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน (ไออาร์จีซี) ยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพสหรัฐ 2 แห่ง ในเมืองอันบาร์และเมืองเออร์บิลของอิรัก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังโดรนสหรัฐยิงขีปนาวุธสังหารนายพลกาเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการหน่วยรบกึ่งทหารและจารกรรมต่างชาติของอิหร่าน ถูกสังหารเมื่อวันศุกร์ที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา นำไปสู่วิกฤติครั้งใหม่ วิกฤติครั้งนี้จะรุนแรงมากขนาดไหนไม่มีใครทราบ
ทว่าเหตุการณ์ล่าสุดที่อิหร่านตอบโต้สหรัฐ เปรียบเสมือนการเอาคืน กำลังสร้างความหวาดกลัวไปทั่วโลกว่าสงครามจะอาจจะขยายวง และจะไม่จบลงง่ายๆ ไออาร์จีซียังแถลงด้วยว่าขอบเขตของการโจมตีของพวกเขาจะลามไปยังพันธมิตรของสหรัฐในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทั้งอิสราเอล และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผลที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า สร้างความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงระนาว ราคาทองตลาดสปอตพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปีกว่า สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่ทะยานมากกว่า 5%
สายการบินหลายแห่งในภูมิภาคเอเชีย ประกาศหลีกเลี่ยงการบินผ่านน่านฟ้าอิหร่าน หรือยกเลิกเที่ยวบิน หลังจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ (เอฟเอเอ) ออกแถลงการณ์ห้ามให้สายการบินทุกแห่งของสหรัฐ บินเหนือน่านฟ้าอิรัก อิหร่าน อ่าวโอมาน และบินเหนือน่านน้ำระหว่างอิหร่านและซาอุดีอาระเบีย ในเวลาใกล้เคียงกันนั่นเอง เครื่องบินโบอิง737 เที่ยวบินพีเอส752 สายการบินยูเครนพร้อมผู้โดยสาร 176 ชีวิต ประสบเหตุตกหลังจากบินขึ้นจากสนามบินในกรุงเตหะรานได้ไม่นาน
เราเห็นว่าขึ้นชื่อว่าสงครามย่อมไม่เป็นผลดีต่อใครเลย แม้ความขัดแย้งครั้งนี้ยังไม่อาจเรียกว่าเป็นสงคราม แต่การตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการให้องค์กรกลางอย่างสหประชาชาติ (ยูเอ็น) หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เข้าไปประสานรอยร้าว น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการหยุดการใช้อาวุธห้ำหั่นกันระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน เพราะชั่วโมงนี้ทั้งคู่ไม่มีท่าทีจะลดราวาศอก โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐที่เป็นพี่เบิ้มของโลก มีความพร้อมทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์มากที่สุด ยิ่งผู้นำประเทศชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะใช้การเจรจายุติความรุนแรง
เราเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ของทั้งสองประเทศ ไม่ต้องการความรุนแรง เห็นได้จากผลสำรวจความเห็นล่าสุดชาวอเมริกันเกินกึ่งหนึ่ง คัดค้านการกระทำของประธานาธิบดีที่เป็นตัวการทำให้เกิดความตึงเครียด และชาวอเมริกันส่วนใหญ่ ยังคาดว่าใกล้จะเกิดสงครามมากขึ้นเรื่อยๆ เราขอเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องทั้งหลายดับไฟไม่ให้ลุกลามเป็นสงครามโลกอย่างที่โลกโซเชียลแตกตื่น การแก้ปัญหาที่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรงน่าจะง่ายกว่าปล่อยให้เนิ่นนาน ส่วนคนไทยอาจจะทำได้เพียงตั้งสติ ไม่ลุ้นระทึกตื่นตูม ถ้าให้ดีต้องส่งกำลังใจให้เพื่อนร่วมโลก ผู้รักสันติ