เปิด 5 เทรนด์โฆษณาไทยปี 2020
มาดูเทรนด์โฆษณาปี 2020 ที่คาดการณ์จากประสบการณ์ของดิจิทัลเอเจนซี CJ WORX ให้ข้อมูลเทรนด์วงการโฆษณาและธุรกิจที่น่าจับตามอง
จากประสบการณ์ 9 ปีของการทำงานในวงการดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง CJ WORX ที่ร่วมงานกับแบรนด์ต่างๆ ในหลายแวดวงธุรกิจทั้งในและต่างประเทศทำให้เห็นทิศทางเทรนด์โฆษณาไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2020 นี้ สัญญาณล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2563 จากเดิม 3.3% เหลือ 2.8% ในขณะที่ปีนี้เหลือเพียง 2.5% สะท้อนให้เห็นว่า การแข่งขันเพื่อการอยู่รอดจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นอะไรที่ไม่ใช่ตัวจริง อาจต้องโบกมือบ๊ายบายแน่ มาดูเทรนด์โฆษณาปี 2020 ที่คาดการณ์จากประสบการณ์ของดิจิทัลเอเจนซี CJ WORXให้ข้อมูลเทรนด์วงการโฆษณาและธุรกิจที่น่าจับตามองไว้ดังนี้...
1. DATA ที่ทรงพลังต้องคู่กับ CREATIVITY
ในไทยหลักๆ DATA ที่ได้ยินกันบ่อยๆ จะเป็นเรื่อง Big DATA แต่ส่วนใหญ่เป็นแค่การใช้ Media DATA เพื่อนำมายิงโฆษณาแบบ Retargetingในช่องทางต่างๆ ผลที่ตามมาคือ ผู้บริโภครู้สึกไม่ดีกับแบรนด์เพราะไปขัดขวางความสนใจในการเสพคอนเทนต์ดังนั้นทิศทางในการโฆษณาจึงจำเป็นต้องนำ DATA ที่มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคเฉพาะรายมานำเสนอให้สอดคล้องกับโฆษณามากขึ้น เมื่อมีการใช้ถังรวบรวมข้อมูลทั้งหลายอย่าง DMP (DATA ManagementPlatform) เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่อยู่ในโลกออนไลน์ จะสามารถนำมาคาดการณ์และปรับการสื่อสารให้กับเข้าผู้บริโภครายนั้นๆ เพื่อให้เกิดการต้องการสินค้าและซื้อในที่สุด
“DMP ที่ฉลาด ขาดไม่ได้คือคนมีประสบการณ์และความคิดสร้างสรรค์ ในการออกแบบชิ้นงานโฆษณา เพื่อรองรับพฤติกรรมของคนได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เกิด Hyper-Personalization ไม่ใช่การคาดการณ์พฤติกรรมแบบเป็นกลุ่ม แต่เป็นการลงลึกในรายบุคคล”
2. New Era Chatbot ไม่ทำให้หงุดหงิดเพราะใช้จิตวิทยาเข้าช่วย
ที่ผ่านมา CJ WORX มีการใช้หลักจิตวิทยาในด้านการออกแบบเว็บไซต์UX,UI เพื่อให้รู้สึกเป็นมิตรกับผู้ใช้งานและตอบสนองต่อพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนแปลงเร็วบนโลกออนไลน์ได้แค่ปลายนิ้วคลิก แต่ปี 2020 นับว่าจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ Chatbot เพราะ CJWORX จะมีการใช้จิตวิทยาเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบคำถามและคำตอบเพื่อให้เกิดความเป็นมิตรกับลูกค้าและรู้สึกดี แทนที่ความรู้สึกไม่ประทับใจจากการคุยกับหุ่นยนต์ การนำจิตวิทยาเข้ามามีส่วนในยุคใหม่ของ Chatbot นี้เน้นการลงลึกในรายละเอียดคำถามและคำตอบให้เกิดความชัดเจนมากกว่าความหมายกว้างๆ ขณะเดียวกันภาษาที่ใช้ ก็มีความเข้าใจง่ายและเป็นมิตรเหมือนคุยกับพนักงานที่เป็นคนจริงๆ
3. ผนึกพลังหลาก Channel หลาย Message ส่งต่อแบรนด์ปัง
ที่ผ่านมาคงเคยได้ยินว่าในต่างประเทศมีการใช้สื่อในการโฆษณาที่แปลกแตกต่างไปจากเดิม อย่าง Omni Channel ที่เป็นการทำโฆษณาหลากหลายช่องทางและมี Message ที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นการเพิ่มความถี่ในการรับรู้ถึงแบรนด์ซ้ำๆแต่ทุกช่องทางจะมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือวกกลับไปที่แบรนด์หรือโปรดักต์นั่นเองอินไซต์พฤติกรรมของผู้บริโภคคือ ไม่ดูซ้ำรอบที่สองประกอบกับความรู้ความเข้าใจใน Omni Channelยังไม่มากนักเท่ากับต่างประเทศ ส่วนใหญ่ก็จะทำแคมเปญกับคลิป VDO และSOCIAL CAMPAIGN แต่เชื่อว่า ในปี 2020จะเป็นเทรนด์ที่จะกระตุกให้ผู้บริโภคหันมาสนใจในแบรนด์ได้อย่างอยู่หมัด คือหลาย Message หลาย Channelอย่างปรากฎการณ์ ฮาวทูทิ้งในช่วงนี้ที่มีการทำคอนเทนต์ที่หลากหลายนอกเหนือจากการโปรโมทภาพยนตร์ ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ แต่ยังแตกไปหลายประเด็นและ Messageไปหลากหลายตีโจทย์ไปเรื่องการทิ้ง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมและประเด็นอื่นๆที่แตกต่างกันไปตามไอเดียสร้างสรรค์
4. เมิน Hard Sale เน้นสร้างภาพจำผ่าน Brand Experience
การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภคที่ไม่เน้นการสร้างยอดขายโปรดักต์ของแบรนด์ แต่เน้นการสร้างประสบการณ์ร่วมสร้างภาพจำกับแบรนด์ ว่าอยากให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์อย่างไรโดยใช้ช่องทางการโฆษณาในรูปแบบต่างๆ สื่อสารออกไปให้ภาพลักษณ์โดยรวมขององค์กรดีขึ้นในต่างประเทศมีมาสักพักแล้ว แต่ในไทยยังไม่เห็นมากนัก ส่วนใหญ่จะเน้นการสร้างภาพยนตร์โฆษณา แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาใช้รูปแบบโฆษณาที่แปลกๆ และหลากหลายมากยิ่งขึ้น อย่างงานล่าสุดของ AP Thai ที่มีแคมเปญ #รูปนี้แม่ถ่าย #รูปนี้พ่อถ่าย เป็นการแบ่งปันประสบการณ์ที่แบรนด์เชื่อมั่นว่า บ้านไม่ใช่แค่สถานที่ให้อยู่อาศัย แต่เป็นที่ไหนก็ได้ที่สมาชิกในบ้านได้ใช้เวลาร่วมกันเราจึงอยากให้พ่อแม่และลูกกลับมาใกล้ชิดกันโดยพาพวกท่านออกไปถ่ายรูปตามวิถีคนรุ่นใหม่ และสร้างประสบการณ์ร่วมกันนี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถจดจำแบรนด์ได้ดี
และ 5. ธุรกิจแนวใหม่จาก Product Channel ยิ่งแปลกยิ่งแตกต่าง
การพัฒนาจาก Media Channel กลายเป็น Product Channelที่มีช่องทางการสื่อสารและมีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง อาทิ Line , Grab Food ,Uber Eat ฯลฯ แม้ว่าสองรายหลังนี้ เป็นสายเดลิเวอรีอาหาร แต่ถือว่าเป็นProduct Channel เป็นศูนย์กลางหรือ Hub ที่มีหลายๆแบรนด์ (Multi Brand)รวมอยู่ในช่องทางนี้สร้างโอกาสทางธุรกิจเนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจากแบรนด์ต่างๆ รวมอยู่ในที่เดียวตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Grab Restaurant ในต่างประเทศที่มีการปรับปรุงห้องแถว 1 ห้องให้กลายเป็นภัตตาคารตามสไตล์ต่างๆที่สำคัญคือไม่มีครัว แต่ลูกค้าสามารถสั่งอาหารอะไรก็ได้นับร้อยและพันเมนูจากร้านดังในออนไลน์ที่ร่วมมือกันให้ปรุงอาหารและมาส่งให้ที่ภัตตาคารแห่งนี้จึงนับว่าเป็นธุรกิจแบบใหม่ ประเภท Product Channelที่ไม่ใช่การโฆษณา
โดยฮับนี้มีหลากหลายแบรนด์ผสมผสานทางกายภาพและเรื่องออนไลน์เข้าด้วยกันเพื่อให้ผู้บริโภคได้ประสบการณ์จากการสัมผัสจริงๆ แต่มีวิธีของการออนไลน์เข้ามาเชื่อมต่อกันปรับตัวไม่ใช่เพื่ออยู่รอด แต่เพื่อยกระดับวงการโฆษณาไทย