พนักงาน กทท. ยื่นสหภาพฯ สอบประมูลแหลมฉบังเฟส 3
กลุ่มพนักงานปกป้องผลประโยชน์ กทท. ยื่นหนังสือถึงสหภาพฯ ให้ตรวจสอบการประมูลท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ที่ทำให้รัฐได้ผลประโยชน์ลดลง
ช่วงเช้าวันนี้ (23 ม.ค.) นายพีระพล งามเลิศ ตัวแทนกลุ่มพนักงานปกป้องผลประโยชน์การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ตัวแทนพนักงานการท่าเรือ ยื่นหนังสือขอให้ผู้แทนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (สร.กทท.) ตรวจสอบการที่คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ขออุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งทำให้รัฐเสียหายในการประมูลแหลมฉบังเฟส 3
ทั้งนี้ กลุ่มพนักงานฯ ดำเนินการยื่นครั้งนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุด โดยได้ตั้งข้อสังเกตกรณีการยื่นอุทธรณ์ที่ทำให้ภาครัฐได้ผลตอบแทนเพียง 12,000 ล้านบาท จากที่ควรจะได้รับ 27,000 ล้านบาท รวมทั้งตั้งข้อสังเกตที่อาจจะมีการล็อกสเป็ก
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มพนักงานฯ ได้ยื่นหนังสือถึง พล.ร.อ.โสภณ วัฒนมงคล ประธานคณะกรรมการ กทท. โดยต้องการให้คณะกรรมการ กทท.ตรวจสอบการประมูลดังกล่าว หลังจากติดตามขั้นตอนการประมูลแล้วเห็นว่าคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ ทำงานเข้าข่ายไม่โปร่งใส
การที่ต้องการให้คณะกรรมการ กทท.ตรวจสอบ เพราะการประมูลโครงการนี้ มีเอกชนสนใจเข้าเสนอราคา 2 ราย คือ กิจการร่วมค้า NPC และ กิจการร่วมค้า GPC ซึ่งคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้ตัดสิทธิ์การร่วมประมูลของกิจการร่วมค้า NPC โดยไม่ผ่านการประเมินเอกสารข้อเสนอซองที่ 2 เพราะลงนามไม่ครบถ้วนในหนังสือข้อเสนอ ซึ่งทำให้เหลือกิจการร่วมค้า GPC ผ่านรายเดียว ทำให้เกิดการร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
นอกจากนี้ การตัดสิทธิ์เอกชนรายดังกล่าวนำไปสู่การฟ้องร้องศาลปกครอง ซึ่งคณะกรรมการคัดเลือกฯ ใช้อำนาจในนาม กทท.ยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุด และขณะนี้อยู่ขั้นตอนการพิจารณาอุทธรณ์ของศาลปกครองสูงสุด โดยทำให้พนักงาน กทท.จำนวนมากกังวลเรื่องนี้ เพราะโครงการนี้มีอายุสัมปทานถึง 35 ปี และมีผลตอบแทนที่ กทท.สมควรได้รับจากผู้ได้รับสัมปทานหลายหมื่นล้านบาท
รวมทั้งการทำงานของคณะกรรมการคัดเลือกฯ มีพฤติการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผลในการตัดสิทธิ์ผู้ประมูล ด้วยเหตุผลลงนามไม่ครบถ้วนในข้อเสนอ ซึ่งทำให้เหลือผู้ยื่นประมูล 1 รายเดียว ซึ่งเป็นรายที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของที่โครงการตั้งไว้ โดยมิได้สนใจที่ปรึกษาด้านกฎหมายของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ซึ่งผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุดได้ให้ความเห็นแล้วว่าไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ และมิได้มีกฎหมายกำหนดให้ต้องกระทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ควรจะไปตัดสิทธิ์ให้เป็นผู้ไม่ผ่านการประเมิน
ทั้งนี้ คณะกรรมการคัดเลือกฯ ไม่พิจารณาความเห็นของที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันกับผู้ตรวจการแผ่นดิน รวมถึงคำพิพากษาของศาลปกครองที่ออกมาแนวทางเดียวกัน ไม่ว่าจะข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย
นอกจากนี้ หลังจากที่มีคำพิพากษา คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้อุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด โดยมิได้คำนึงว่าถ้าเกิดการประมูลต่อ และมีการแข่งขันกันระหว่างผู้ยื่นประมูลทั้ง 2 ราย ซึ่ง กทท.จะได้รับผลตอบแทนสูงสุดมากกว่าที่เหลือ 1 รายเดียวที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งอาจจะเอื้อประโยชน์ให้ผู้เสนอผลตอบแทนต่ำชนะประมูล