บลจ.กสิกรไทย ปี63 ลุยปั้นผลตอบแทนพอร์ตแนะนำขั้นต่ำ 3%
บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าปี 2563 โดยชูกลยุทธ์ Investor Focus มุ่งเน้นสร้างประสิทธิผลจากการลงทุนให้กับผู้ลงทุนในภาวะตลาดโลกผันผวน ปั้นผลตอบแทนพอร์ตแนะนำขั้นต่ำ 3%
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายปี 2563 ว่า บลจ.กสิกรไทย ยังคงตั้งเป้าการเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนด้วยการรักษาฐานลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ และเพิ่มศักยภาพการลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล โดยมีแผนออกกองทุนใหม่ทั้งที่เป็นกองทุนทั่วไป และกองทุนทางเลือกอย่าง Private Equity Fund รวมแล้วกว่า 6 กองทุน ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงแนะนำกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายทั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้นไทย กองทุนหุ้นต่างประเทศ และกองทุนผสม เป็นต้น
สำหรับการขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านกองทุน SSF นายวศินมองว่ายังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก โดยเทียบได้จากจำนวนสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ในระบบที่มีอายุเฉลี่ยต่ำกว่า 45 ปี และมีศักยภาพเข้าลงทุนในกองทุน SSF ได้ ซึ่งคาดว่ามีอยู่ประมาณ 500,000 ราย หรือ คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนกว่า 50,000 – 70,000 ล้านบาท ส่วนการขยายฐานผ่านการเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ (Online Opening Account) เราได้มองเห็นอัตราการเติบโตของผู้ลงทุนกลุ่มคนรุ่นใหม่จากยอดการเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ที่มีอายุระหว่าง 20 – 30 ปี ที่ได้เข้ามาเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ผ่าน App K PLUS และ K-My Funds กว่า 55% นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้เตรียมแนวทางการออกกองทุน SSF เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความต้องการด้านใดด้านหนึ่ง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ (Competitive Fee) เข้าใจได้ง่าย (Easy to Understand) และสอดรับกับกระแสโลก (New Trend) หรือครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน โดยจะต้องเข้าถึงการลงทุนได้ง่าย สะดวก และปลอดภัยด้วย
“บลจ.กสิกรไทย มุ่งพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ บน App K-My Funds เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ลงทุนได้ดียิ่งขึ้น โดยได้มีการออกแบบข้อความคำแนะนำการลงทุนเป็นรายบุคคล (Personalized Messages) กว่า 100 แบบผ่าน Smart Notification เพื่อให้ลูกค้าได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร และสถานการณ์การลงทุนได้ทันท่วงที นอกจากนี้ App K-My Funds ยังมีพอร์ตแนะนำเพื่อเป็นแนวทางให้ลูกค้าได้กระจายการลงทุนตามความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทำกำไรได้ดีกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยจะเห็นได้จากตัวอย่างการลงทุนในปีที่ผ่านมาของพอร์ตแนะนำ FITL และ FITXL
ที่มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยซึ่งคำนวณจากดัชนีอ้างอิงอยู่ที่ 7.4% ต่อปี และ 9.9% ต่อปี ตามลำดับ พบว่า มีลูกค้าเพียง 15% เท่านั้นที่ลงทุนด้วยตัวเองและสามารถเอาชนะพอร์ตแนะนำได้ ในขณะที่อีก 85% ไม่สามารถเอาชนะพอร์ตแนะนำได้ อีกทั้งจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังมีสภาพคล่องสูง ในขณะที่มีอัตราการเติบโตต่ำ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปท่ามกลางความไม่แน่นอน ซึ่งผู้ลงทุนต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายตลาดประกอบกัน ดังนั้น การกระจายการลงทุนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้ลงทุนสามารถใช้พอร์ตแนะนำเป็นแนวทางในการลงทุนได้ ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้ตั้งเป้าบริหารพอร์ตแนะนำเพื่อสร้างผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้น้อยที่สุด” นายวศินกล่าว
นายวศินกล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาของ บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ 1.36 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.02 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.77 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.63 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดจำแนกตามธุรกิจอยู่ที่ 19.5%, 14.7% และ 14.6% ตามลำดับ โดยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม (ข้อมูลจาก AIMC ณ 30 ธ.ค. 2562)
สำหรับจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล (Digital-based Users) ในปีที่ผ่านมา มีประมาณกว่า 60% จากจำนวนลูกค้ากองทุนรวมทั้งหมด ซึ่งรวมเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 300,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้ตั้งเป้าจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล เพิ่มขึ้นอีก 16% จากจำนวนลูกค้ากองทุนรวมทั้งหมด
สำหรับมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2563 บลจ.กสิกรไทย มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกว่ายังคงมีความเสี่ยงจากประเด็นทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ประเด็น Brexit และความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ (Geopolitical Risk) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินของประเทศแกนหลัก ยังคงผ่อนคลายทั้งด้านนโยบายดอกเบี้ย และการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อพันธบัตร เพื่อประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ทำให้ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุน ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับอัตราคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2563 ที่ประมาณ 6 - 8% โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2563 มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแตะ 1,700 จุด สะท้อน Forward PE ที่ 16.7 เท่า และ Dividend Yield ที่ประมาณ 3.17%