“บีจีซี”รุกซื้อกิจการบรรจุภัณฑ์ พลังงานทดแทน“ลดเสี่ยง”
“บีจีซี”เผยแผนธุรกิจปี 63 เร่งลงทุนซื้อกิจการบรรจุภัณฑ์เสริมแกร่งธุรกิจขวดแก้ว พร้อมรุกธุรกิจพลังงานทดแทน
นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ บีจีซี กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ว่า ไม่มีการเพิ่มกำลังการผลิตเนื่องจากเพิ่งลงทุนตั้งโรงงาน จังหวัดราชบุรีทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้น และนำเข้าแก้วจากโรงงานอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ แทนที่จะต้องลงทุนตั้งโรงงานเพิ่ม
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้ควบคุมต้นทุนในการผลิตแก้วเพื่อเพิ่มมาร์จิน (กำไรต่อหน่วย) อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการหาเศษแก้วจากการไปซื้อบริษัทจัดเก็บเศษแก้วเข้ามา หรือในด้านพลังงาน ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลักของโรงแก้ว มีการติดตั้งโปรแกรมควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ รวมไปถึงการจัดหาวัตถุดิบอื่น ๆ จนแทบไม่สามารถลดต้นทุนลงไปมากกว่านี้ได้แล้ว จึงหันไปสร้างการเติบโตรายได้และกำไรจากธุรกิจอื่นเข้ามาเสริมด้วยการลงทุนในธุรกิจใหม่ในรูปแบบการเข้าไปซื้อกิจการหรือร่วมทุน เพราะคุ้มค่าและประหยัดกว่าไปเริ่มต้นลงทุนเองใหม่ทั้งหมด
นายศิลปรัตน์ ยังกล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะมีแผนขยายการลงทุนไปธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขวดเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง เช่น บรรจุภัณฑ์ชนิดฟิล์ม และกล่องกระดาษ หรือสินค้าเกี่ยวข้องบรรจุภัณฑ์แก้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) จำนวน2 ราย คาดว่าจะมีความชัดเจนกลางปี 1 ดีล และปลายปีอีก 1 ดีล โดยใช้งบลงทุนประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท รวมทั้งการเข้าซื้อหุ้น 100% ของบริษัท โซล่าร์ พาวเวอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่า 1,259 ล้านบาท ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนาม 2 โครงการ คือ โครงการ Xuan Tho1 และโครงการ Xuan Tho2 ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มมีการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วทั้ง 2 โครงการ
“ปีนี้บริษัทจะมีรายได้ยอดขายมาจาก 3 ธุรกิจ 1.บรรจุภัณฑ์แก้วด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต 2.แพ็คเกจจิ้งที่ซื้อเข้ามาซินเนอร์จีกับธุรกิจขวดแก้วทำให้ขายได้ง่าย มีกำไรมากขึ้น ในรูปแบบโทเทิลแพคเกจจิ้งโซลูชั่น และ3.ธุรกิจพลังงาน จากโซล่าร์ เซลล์ที่เวียดนาม ซึ่งผลกำไรดี คาดว่า สิ้นปีนี้จะมียอดขาย13,000 ล้านบาท”
ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขวดแก้ว อันดับหนึ่งในประเทศ ซึ่งฐานลูกค้าหลักเป็นเครือบุญรอด50% ที่เหลือ 50% เป็นลูกค้านอกเครือ อาทิ กรีนสปอร์ต กระทิงแดง ไทยน้ำทิพย์ เป็นต้น รวมทั้งการส่งออกไปต่างประเทศทั้งเวียดนาม ออสเตรเลีย อินเดีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยมีกำลังผลิตรวม 5 โรงงานจากจังหวัด ปทุมธานี, ขอนแก่น, ปราจีนบุรี, พระนครศรีอยุธยา และราชบุรี มีกำลังผลิตรวม 3,495 ตัน/วัน หรือประมาณ 1 ล้านตันต่อปี และมีส่วนแบ่งตลาด40% ของอุตสาหกรรมขวดแก้ว
“ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออก10% คาดว่าปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น12% แต่ถ้าสถานการณ์ในประเทศไม่ดีขึ้น อาจต้องปรับเป้าให้สัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้น ซึ่ง 2ปัจจัยลบที่กังวล หนีไม่พ้นการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ที่ล่าช้ามีผลต่อการดำเนินธุรกิจ”