เฟดฟันธง ‘เทรดดีล’ ให้ผลจำกัด
แม้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับอ่อนแรงไป แต่ธนาคารกลางสหรัฐยังกังวลว่าอันตรายต่อเศรษฐกิจยังไม่จบ เรื่องนี้พิสูจน์ได้จากรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครั้งล่าสุด เผยแพร่เมื่อวันพุธ (19 ก.พ.)
สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานผลการประชุมเอฟโอเอ็มซี ระบุ เดือนที่แล้วประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐลงนามข้อตกลงการค้าเฟสหนึ่งกับจีน ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่จากการใช้ภาษีตอบโต้กันไปมา แต่ใช่ว่าจะยกเลิกไปเสียทีเดียว สินค้าราว 2 ใน 3 ที่สองมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกค้าขายกันยังถูกเก็บภาษีจากสงครามการค้าครั้งนี้
รายงานการประชุมนโยบายการเงินระหว่างวันที่ 28-29 ม.ค. ระบุว่า การสงบศึกกับจีน และการทำข้อตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ในภูมิภาคอเมริกาเหนือกับเม็กซิโกและแคนาดา ช่วยลดความเสี่ยงขาลงและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ แต่เจ้าหน้าที่เฟดหลายคนเตือนว่า ผลจากดีลเฟส 1 อาจมีค่อนข้างจำกัด
ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าเป็นไปได้ว่ายังคงอยู่ ความตึงเครียดใหม่ๆ มีโอกาสเกิดขึ้นอีก เช่นเดียวกับความตึงเครียดเดิมบานปลายออกไป
รายงานระบุด้วยว่า ข้อตกลงกับจีนไม่ได้ยกเลิกภาษีสัดส่วนใหญ่และหลายบริษัทได้ปรับเปลี่ยนการผลิตและซัพพลายเชนไปเรียบร้อยแล้ว
นอกเหนือจากสินค้าหลายแสนรายการจากจีนที่ถูกสหรัฐเก็บภาษี รัฐบาลทรัมป์ยังเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากหลายประเทศ จนถูกคู่กรณีตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีจากสินค้าสหรัฐด้วยเช่นกัน ส่งผลให้การผลิตของสหรัฐลดลงในปี 2562
ความขัดแย้งจากนโยบายข่มขู่ของทรัมป์สั่นสะเทือนภาคธุรกิจ ที่ต้องชะลอการลงทุนออกไปก่อน หรือไม่ก็ย้ายการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องถูกเก็บภาษี ขณะที่การนำเข้าและส่งออกของสหรัฐก็ลดลงในปี 2562
ตามข้อตกลงเฟส 1 รัฐบาลวอชิงตันยกเลิกภาษีจากสินค้านำเข้ามูลค่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์ ที่เรียกเก็บเมื่อกลางเดือน ธ.ค. และลดภาษีสินค้าอุปโภคบริโภคจำพวกเสื้อผ้า ที่เรียกเก็บเมื่อวันที่ 1 ก.ย. จาก 15% เหลือ 7.5% แต่นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า สหรัฐเก็บภาษีจีนเฉลี่ยตลอดช่วงสงครามการค้าเพิ่มขึ้นจาก 3% เมื่อต้นปี 2561 มาเป็นกว่า 19%
ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เตือนว่า ความขัดแย้งทางการค้าและการเก็บภาษีลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลง 80% ล่าสุดวันพุธ ไอเอ็มเอฟกล่าวว่า การสงบศึกกับจีนอาจลดแรงต้านลงได้ 0.2% แต่เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ปีที่ผ่านมาเฟดลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 3 ครั้ง เพื่ออุ้มเศรษฐกิจที่สั่นสะเทือนจากสงครามการค้าหลายแนวรบของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่การประชุมเอฟโอเอ็มซี เดือน ม.ค.คงดอกเบี้ยไว้ตามเป้าที่ 1.5-1.75% พร้อมชี้ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ เว้นแต่จะมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ส่วนความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยในปีนี้ รายงานระบุว่าลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีท่าทีระมัดระวังต่อการผ่อนคลายความตึงเครียดช่วยหนุนความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ หรือเพิ่มความต้องการการส่งออกที่จะช่วยเสริมแกร่งหรืออย่างน้อยก็ช่วยให้การลงทุนของภาคธุรกิจมีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งตอกย้ำว่าเกษตรกรอเมริกันต้องเจอความท้าทายอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลให้การอุดหนุน หลังจากเสียหายหนักเพราะถูกจีนเก็บภาษีตอบโต้ ซึ่งดีลเฟส 1 ก็ให้ประโยชน์กับเกษตรกรเช่นเดียวกัน เมื่อรัฐบาลปักกิ่งประกาศว่าจะซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐเพิ่ม 2 แสนล้านดอลลาร์ตลอดช่วง 2 ปี
เฟดกล่าวทิ้งท้ายว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีน ที่คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 2,000 คน สร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลกได้อีกทาง หลังจากส่งสัญญาณอยู่ตัว