'โบว์ ณัฏฐา' สอนน้อง! ปมนิสิตจุฬาชักธงดำขึ้นเสา หลังโซเชียลวิจารณ์กระหึ่ม
ฮอตโซเชียล "โบว์ ณัฏฐา" สอนน้อง! ปมนิสิตจุฬาชักธงดำขึ้นเสา หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่ม
ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์เพจเฟซบุ๊ค กรณีนิสิตจุฬาฯชักธงดำ สรุปว่า เมื่อวันที่ 24 ก.พ. นิสิตได้จัดงาน จุฬารวมพล ไม่ได้มีการแตะต้องธงชาติ และมีการเคารพธงชาติเวลา 18.00 น. โดยก่อนการเคารพธงชาติ น้องเฟลอได้ขึ้นพูดเชิญชวนให้เพื่อนนิสิตได้เคารพธงชาติพร้อมกัน โดยกล่าวว่า เราจะร้องเพลงชาติร่วมกัน เป็นการร้องเพลงชาติเพื่อประชาชน ก่อนนิสิตอีกคนจะเสริมว่าให้ร่วมกันร้องให้ดังที่สุด
หลังการร้องเพลงเคารพธงชาติลงจากเสาเวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่เก็บธงชาติกลับไปแล้ว ก่อนดวงอาทิตย์ตก น้องและเพื่อนได้ไปที่เสาธงพร้อมผ้าดำตามข่าว เมื่อเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยเห็น จึงตกใจและเข้าห้ามปราม ทำให้ไม่สามารถผูกธงได้สำเร็จ ตามภาพที่เห็นในข่าว น้องจึงเดินกลับไปที่งาน
"ไม่ว่าใครจะมีความรู้สึกต่อเรื่องนี้อย่างไร ข้อเท็จจริงไม่ควรถูกบิดเบือน น้องๆไม่ได้แตะต้องธงชาติ เพราะตอนเดินไปที่เสาธงนั้นเป็นเวลาหลังเคารพธงชาติร่วมกันและธงชาติถูกเก็บไปเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเพียงต้องการใช้ธงดำเป็นสัญลักษณ์ถึงความอยุติธรรมปิดท้ายกิจกรรม..
"โบว์คิดว่าทุกคนสามารถเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ ว่าความรอบคอบใน “การสื่อสารกับคนหมู่มาก” สำคัญเพียงใด และการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์นั้น หากเราไม่สามารถอธิบายให้สังคมเข้าใจอย่างทั่วถึงได้จริง ในกรณีที่มีความอ่อนไหวสูง ก็อาจนำมาซึ่งผลอันไม่พึงประสงค์
อย่างในครั้งนี้ ต่อให้สามารถชักธงดำขึ้นเสาและอธิบายกันในงานได้ หากภาพเผยแพร่ออกไป ก็จะมีคนจำนวนมากไม่พอใจจากการตีความที่เพี้ยนไปได้หลายทิศทางทั้งโดยจงใจและไม่ตั้งใจ เกิดบรรยากาศที่เป็นอันตราย และทำให้การสร้างความเข้าใจเป้าหมายของการเคลื่อนไหวกับสังคมต่อไปเป็นไปด้วยความยากลำบาก เราต้องไม่ลืมว่าความสำเร็จของการขับเคลื่อนทางการเมือง(ไม่ว่าจะโดยนักศึกษา ประชาชน หรือนักการเมือง) อยู่ที่ความสามารถในการทำให้คนจำนวนมากที่สุดเข้าใจและเห็นด้วยว่าเราต้องการสร้างสังคมที่ดีขึ้นด้วยกันได้อย่างไร หากเราสร้างสภาวะที่ทำให้เกิด noise มากกว่า voice เสียแล้ว ทุกอย่างจะยากมากเพราะผู้คนจะพูดกันไม่รู้เรื่อง..
"ไม่ว่าประชาชนผู้รับข้อมูลข่าวสารจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงนี้แล้ว อยากขอร้องให้ทุกคนปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตาค่ะ หากเราเห็นเยาวชนเหล่านี้เหมือนน้อง เหมือนลูก เหมือนหลาน ที่มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกับพวกเราทุกคนแล้ว ก็ขอให้ได้ให้กำลังใจหากคุณเห็นด้วยกับพวกเขา ขอให้ให้อภัยหากคุณไม่พอใจในสิ่งที่เขาพยายามทำ และขอให้สละเวลาทำความเข้าใจหากยังสับสน"