ศาลไม่รับฟ้อง 'พ.ต.อ.ไพรัตน์' ฟ้อง 'ผบ.ตร.' โยกย้ายไม่ชอบ
ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษายกฟ้องชั้นตรวจฟ้อง ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง ผบ.ตร. โยกย้ายข้ามหน่วยตามดุลพินิจ จากเหตุที่รอสอบปมจัดคอนเสิร์ต
ที่ห้องพิจารณา 702 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อเวลา 09.30 น. ศาลนัดฟังคำสั่ง / คำพิพากษาชั้นตรวจคำฟ้อง คดีหมายเลขดำ อท.3/2563 ที่ พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (รอง ผบก.อก.ภ.9) เดินทางมา ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา หรือบิ๊กแป๊ะ ผบ.ตร. ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157
กรณีใช้อำนาจแต่งตั้งโยกย้าย พ.ต.อ.ไพรัตน์ จากตำแหน่งรอง ผบก.ภ.จ.เพชรบุรี ไปเป็น รอง ผบก.อก.ภ.9 โดยไม่เป็นธรรม โดยมีมูลเหตุจูงใจด้านอื่น โดยศาลตรวจพิเคราะห์คำฟ้องและหนังสือคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในชั้นตรวจฟ้องนี้แล้ว เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องการโยกย้ายโจทก์ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ คิดว่ามีคำสั่ง คสช. 20/2561 สนับสนุนให้กระทำการใดๆกับใครก็ได้ โดยโจทก์ถูกย้ายเหตุฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่ 22/2558 เรื่องมาตรการป้องกันการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทั้งที่โจทก์ไม่เคยมีการฝ่าฝืนแต่อย่างใด
ซึ่งจำเลยทราบดีว่าโจทก์กำลังศึกษาในหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) จึงกลั่นแกล้งโยกย้ายตำแหน่งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อการศึกษาของโจทก์ โดยย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งรองผบก.อก.ภ.9 ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อราชการแต่อย่างใด เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ ขณะที่ข้อเท็จจริงชั้นนี้ ศาลรับฟังได้ว่า เหตุที่มีการย้ายโจทก์ จาก บช.ภ.7 ไป บช.ภ. 9 นั้นเนื่องจากโจทก์เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการอำนวยการการ ฝึกอบรม ดูแลกำลังพล จึงไปได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ส่วนที่โจทก์อ้างว่ากำลังศึกษาในหลักสูตร วปอ.นั้นเป็นเรื่องที่โจทก์สมัครใจไปเรียนเพื่อหาความรู้เอง และไม่ว่าโจทก์จะไปดำรงตำแหน่งที่ไหน ย่อมมีผลกระทบต่อการเรียนและการทำงานทั้งนั้น กับกรณีเป็นที่สงสัยว่าโจทก์ถูกดำเนินการทางวินัยในเรื่องการจัดแสดงดนตรี "คัมภีร์แผ่นดิน" เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.62 โดยให้ทีมงานจำหน่ายบัตรแก่ประชาชนและผู้ประกอบการใน จ.ภูเก็ตเป็นเหตุให้ต้องโยกย้ายโจทก์นั้น เรื่องก็ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งเหตุที่โจทก์ถูกแต่งตั้งโยกย้ายข้ามหน่วยเป็นไปตามคำสั่งของ ผบช.ภ.7 ที่ 126/2562 เรื่องจัดคอนเสิร์ต ไม่ใช่การฝ่าฝืนคำสั่งคสช.ที่ 22/2558 แต่อย่างใด
การที่ ผบ.ตร. มีหนังสือ ตอบข้อหารือผบช.ภ. 7 เป็นการดำเนินการตามกฎหมาย การกระทำของจำเลย จึงใช้อำนาจตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ใช้ดุลพินิจตามกำหนด และที่โจทก์อ้างว่า จำเลยโกรธเคืองเกลียดชังโจทก์ เนื่องจากโจทก์มีความขัดแย้งกับนายตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร.นั้น ศาลเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องอย่างเลื่อนลอยปราศจากเหตุผล สำหรับข้อเท็จจริง ที่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทำการร้องทุกข์ ต่อ ก.ตร. ขอให้สั่งกลับไปทำหน้าที่ใน บช.ภ.7 นั้นก็ยังอยู่ระหว่างดำเนินการของ ก.ตร.เกี่ยวกับข้อร้องทุกข์ดังกล่าวยังไม่มีคำสั่ง ใดๆ จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย่งสิทธิ โดยหากการร้องทุกข์ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ก็ยังสามารถใช้สิทธิยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ ดังนั้นในชั้นนี้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ดีสำหรับขั้นตอนทางกฎหมายความยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 1 เดือน