สหรัฐกดดันจีนหนัก ส่อลาม 'สงครามการค้า'
จากการที่สหรัฐพยายามให้จีนรับผิดชอบ กรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เนื่องจากสหรัฐเชื่อว่าเชื้อไวรัสหลุดมาจากห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ของจีน ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนเกิดความตึงเครียดและรุนแรงมากขึ้น
ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน ที่มีปมมาจากการที่สหรัฐพยายามให้จีนรับผิดชอบ กรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19 ที่สร้างความเสียหายไปทั่วโลก โดยสหรัฐเชื่อว่า เชื้อไวรัสชนิดนี้หลุดมาจากห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย์ เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ กล่าวระหว่างลงพื้นที่โรงงานผลิตอุปกรณ์การแพทย์ รวมหน้าหน้ากากอนามัย ของบริษัทโอเวนส์ แอนด์ ไมเนอร์ ที่เมืองอัลเลนทาวน์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันพฤหัสบดี (14 พ.ค.) ว่าตอนนี้เขารู้สึกผิดหวังอย่างมากกับท่าทีของจีนที่มีต่อวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคระบาดจากจีน และเขาเชื่อมั่นว่ารัฐบาลปักกิ่งปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทรัมป์ บอกว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ตอนนี้เขาไม่ต้องการสนทนากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนอีก และมีหลายมาตรการที่เขากำลังพิจารณาเพื่อใช้ตอบโต้อีกฝ่าย รวมถึงการยุติความสัมพันธ์ ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐประหยัดเงินได้มากถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ ที่หมายถึง มูลค่าเฉลี่ยของสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนในแต่ละปี
ส่วน “ไมค์ ปอมเปโอ” รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า ขณะที่รัฐบาลวอชิงตันและบรรดาชาติพันธมิตร ร่วมมือกันอย่างโปร่งใสเพื่อปกป้องชีวิตของประชาชน จีนยังคงปิดปากเงียบ นักวิทยาศาสตร์ ผู้สื่อข่าว และพลเมือง ชาวจีนเดินหน้าเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน ซึ่งมีแต่จะยิ่งส่งผลให้วิกฤติด้านสาธารณสุขครั้งนี้เลวร้ายยิ่งขึ้น
ท่าทีของทรัมป์และปอมเปโอ เกิดขึ้นเพียงวันเดียว หลังสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) และสำนักงานความปลอดภัยไซเบอร์และความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้น ฐานออกแถลงการณ์ เรื่องการตรวจพบความพยายามของแฮกเกอร์สังกัดรัฐบาลปักกิ่ง ที่พยายามจารกรรมข้อมูลจากระบบของหน่วยงานรัฐและเอกชนในหลาย ประเทศ เกี่ยวกับโครงการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
นอกจากสร้างแรงกดดันจีนด้วยการให้ข่าวรายวันแล้ว วุฒิสภาสหรัฐยังอนุมัติร่างกฎหมายที่เรียกร้องให้ดำเนินการที่แข็งกร้าวมากขึ้นกับกรณีที่จีนทำการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอุยกูร์ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-จีนมากขึ้น หลังถูกกดดันอยู่แล้วจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างสหรัฐและจีน อาจนำาไปสู่การทำสงครามการค้ารอบใหม่ที่รุนแรงขึ้น
วุฒิสมาชิกรายหนึ่ง กล่าวว่า กฎหมายนโยบายสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ปี 2563 ของสหรัฐ มีเป้าหมายเพื่อให้จีนรับผิดชอบกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงกับชาวอุยกูร์ ในเขตปกครองตนเอง ซินเจียงทางตะวันตก ของจีน
ร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องผ่านการอนุมัติของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ก่อนส่งต่อให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยที่ผ่านมาสหรัฐได้แสดงความวิตกอย่างมากเกี่ยวกับการควบคุมตัวชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมมากกว่า 1 ล้านคนไว้ในค่ายกักกัน ซึ่งจีนเรียกอย่างเป็นทางการว่าศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมอาชีพ โดยที่ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ไม่ได้กระทำความผิดแต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่จีนระบุว่า จำเป็นต้องจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้น เพื่อรับมือกับกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มลัทธิศาสนาหัวรุนแรง
ขณะที่สื่อสหรัฐรายงานว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเรียกร้องให้ดำเนินมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีนที่รับผิดชอบในการกักกันตัวชาวอุยกูร์ และลงโทษในฐานะปฏิบัติการอย่างไร้มนุษยธรรมในรูปแบบอื่นๆ กับชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิม
แต่ไม่ได้มีแค่สหรัฐเท่านั้นที่กดดันจีน “เกรก ฮันต์” รัฐมนตรีสาธารณสุขออสเตรเลีย ก็กล่าวในนามรัฐบาลออสเตรเลีย สนับสนุนข้อเสนอของสหภาพยุโรป (อียู) ในการสอบสวน หาต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในจีน
ฮันต์ ระบุว่า ออสเตรเลียสนับสนุนข้อเสนอของอียูที่ให้มีการสืบสวนโดยหน่วยงานอิสระ มีการจัดระเบียบข้อบังคับกับตลาดสด รวมไปถึงจัดให้มีการตรวจสอบที่เป็นอิสระ ซึ่งท่าทีนี้ของออสเตรเลียมีขึ้นหลังจากฝ่ายบริหารของอียูออกมาเสนอให้จีนร่วมมือกับอียูในการสืบหาต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
แม้เป็นที่เข้าใจกันว่าเชื้อไวรัสมีต้นตอการแพร่ระบาดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ระบุว่า เป็นไปได้ว่าเชื้อจะแพร่ระบาดมาจากค้างคาว ไปสู่มนุษย์ผ่านสัตว์พาหะอย่างตัวนิ่ม ซึ่งมีต้นตอมาจากตลาดค้าสัตว์ป่าในเมืองอู่ฮั่น ที่ขายเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหาร
แต่จีนระบุว่า ยังคงเร็วเกินไปที่จะเปิดให้มีการสืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัส และปฏิเสธกล่าวหาที่ระบุว่าจีนล้มเหลวในการป้องกัน ไม่ให้ไวรัสแพร่ระบาดไปทั่วโลก
“ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ จากปมที่สหรัฐมั่นใจว่าจีนคือตัวการปล่อยเชื้อไวรัส ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอาจนำไปสู่การทำสงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสองประเทศนี้ ที่สร้างผลกระทบหนักหน่วงกว่าการทำสงครามการค้ารอบแรก” เดวิด โซคัลสกี้ นักวิเคราะห์จาก คอนเซนเทรทเทด ลีดเดอร์ส ฟันด์ ให้ความเห็น
โซคัลสกี้ กล่าวว่า แผนเปิดเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากล็อกดาวน์มานานหลายสัปดาห์ เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัว อาจจะทำไม่สำเร็จเพราะปัญหาขัดแย้งทางการเมือง
“ขณะที่ตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลายประเทศ ผ่านจุดพีคไปแล้ว บรรดานักการเมืองก็เริ่มหาแพะรับบาปเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป้าหมายที่ชัดเจนจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากจีน” โซคัลสกี้ กล่าว