'อดีตสหภาพบินไทย' ไม่ไว้ใจแผนฟื้นฟู ตั้งคณะทำงานคู่ขนาน
"อดีตสหภาพฯ การบินไทย" เตรียมส่งหนังสือถึงสหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ จี้รัฐบาลไทยเดินตาม 3 เงื่อนไขพนักงาน แจงไม่ไว้วางใจกระบวนการฟื้นฟูของรัฐ เดินหน้าจัดตั้ง "คณะทำงานฟื้นฟูการบินไทย" ทำงานคู่ขนาน
นายนเรศ ผึ้งแย้ม อดีตประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา อดีตตัวแทนสหภาพการบินไทยได้เข้าร่วมประชุมในคณะกรรมการสหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ (ITF) ของไทย ซึ่งเป็นวาระพิเศษที่จัดประชุมเกี่ยวกับกรณีรัฐบาลไทยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ผ่านศาลล้มละลายกลาง และให้กระทรวงการคลังลดสัดส่วนการถือหุ้น จนทำให้การบินไทยหลุดพ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ
โดยที่ประชุมมีมติให้ส่งคำร้องขอต่อสหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ (ITF) ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ ให้ทำหนังสือกดดันมายังรัฐบาลไทย ให้ดำเนินการ 3 ข้อ คือ 1.คงสวัสดิการและสภาพการจ้างพนักงาน 2.การปลดพนักงานให้ทำหลังจากแผนฟื้นฟูสำเร็จ และ 3.แผนฟื้นฟูให้มีตัวแทนแรงงานเข้าไปมีส่วนร่วม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 พ.ค.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เรื่องมติเอกฉันท์องค์กรสมาชิก สรส. แต่งตั้งคณะทำงานฟื้นฟูการบินไทย โดยมีสาระสำคัญ คือ ตามที่รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติในการฟื้นฟการบินไทย ผ่านกระบวนการล้มละลาย อันเนื่องมาจากความล้มเหลวในการฟื้นฟูการบินไทยตามแผนที่ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้น
และได้เสนอผ่านสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สังกัดกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และผ่านคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปก่อนหน้านี้กว่า 2 ปี ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ทุกฝ่ายมีการรับรู้ในการดำเนินการทำแผน มีการรายงานทุกครั้งในการประชุม คนร. ยกเว้น สหภาพแรงงานและพนักงานที่ไม่มีส่วนรับรู้แต่ประการใด
จนในที่สุดกระบวนการฟื้นฟูตามแผนเติมที่ผู้บริหาร สคร. คนร. และ ครม. รับรู้และมีส่วนร่วมนั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่ปราศจากผู้รับผิดชอบ จนในที่สุดต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลายและจะค้ำประกันเงินกู้ให้การบินไทยฟื้นฟู
อีกเป็นจำนวน 54,000 ล้านบาท จนสังคมต้องก่นด่าผ่านสื่อออนไลน์รวมทั้งสื่อมวลชนต่างพร้อมใจกันเสนอข่าวและเป็นช่วงในสถานการณ์การแพร่ระบาตของไวรัสโควิด-19 และรัฐบาลต้องออก พ.ร.ก. กู้เงิน 1.9 ล้านล้าน
บาทเพื่อเยียวยาประชาชน
และยังไม่ทันเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ยังไม่ยื่นต่อศาลล้มละลาย ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะทำงานในการฟื้นฟู กระทรวงการคลังก็ได้ขายหุ้นบริษัทการบินไทยออกไปทันทีจำนวน 69 ล้านหุ้น ๆ ละ 4.03 บาท จำนวนเงิน 278 ล้นบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.17 เปอร์เซ็นต์ ทั้ง ๆ ที่การบินไทยมีหนี้สินสูงถึง 246,000 ล้านบาท ซึ่งการขายหุ้นออกไปจำนวนดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้สถานะหนี้ของการบินไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากแต่ประการใด
ทั้งนี้ การขายหุ้นออกไปจนกระทรวงการคลังถือหุ้นน้อยกว่า51% ทำให้บริษัทการบินไทยพันสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ และทำให้การตรวจสอบ การมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูจากพนักงานการบินไทยสิ้นสุดลงตามนัยของกฎหมายเพราะจะทำให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการนไทยสิ้นสภาพไปด้วย จากนี้ไปการดำเนินการก็ปราศจากการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบจากคนการบินไทย จากที่กล่าวมาคงกล่าวได้ว่านี่คือ "ขบวนการปล้นการบินไทย สายการบินแห่งชาติ" "คือขบวนการล้มสหภาพแรงงาน"
ซึ่งได้พยายามทำมาก่อนหน้านี้และมาบรรลุในสถานการณ์โควิด-19 และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และที่สำคัญ "คนที่พยายามทำลายการบินไทย สายการบินแห่งชาติ ตั้งแต่ต้น นับแต่ปี 2544 ก็ยังเป็นเสนาบดีในรัฐบาลชุดนี้" ทั้งที่จริงแล้ว เมื่อมีเหตุที่ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูโดยผ่านกระบวนการโดยศาลล้มละลายทุกอย่างต้องหยุด เพื่อรอคำสั่งของศาลว่าให้ดำเนินการอย่างไร แต่กรณีนี้เร่งรีบในการขายหุ้น เร่งรีบแย่งชิงในการเสนอคนของตนเองเข้าไปเป็นคณะทำงาน และคณะกรรมการในการตรวจสอบของรัฐมนตรีและพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง...ซึ่งชี้ให้เห็นถึงเงื่อนงำที่ไม่น่าไว้วางใจ
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) มีนโยบายที่แจ่มชัดในการต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ มีองค์กรสมาชิกที่เป็นสหภาพแรงงานทั้งรัฐวิสาหกิจ เอกชนและลูกจ้างภาครัฐจำนวน 44 แห่ง และมีสาขาภูมิภาค 9 สาขาและศูนย์ประสานงาน สส. ประจำจังหวัดเกือบทุกจังหวัด ได้สื่อสาร และหารือกันเป็นระยะในสถานการณ์ที่ผ่านมา และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดและรัฐวิสาหกิจเป็นกำลังอันสำคัญในการเป็นเครื่องมือของรัฐบาล แต่สำหรับเรื่องการบินไทยกับการตัดสินใจของฐบาลในครั้งนี้ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก
สรส. จึงได้เชิญประธานสหภาพแรงงานองค์กรสมาชิกทุกแห่ง ที่ปรึกษา และ "คนการบินไทย" มาร่วมประชุมหารือเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 ซึ่งที่ประชุมได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง แต่เป็นทิศทางเดียวกันคือ "ไม่ไว้วางใจต่อกระบวนการในการฟื้นฟูของรัฐบาล" เพราะการฟื้นฟูนั้น ไม่ได้เริ่มที่การค้นหาความจริง และการทำความจริงให้ปรากฎ เพราะทราบกันดีว่าปัญหาที่แท้จริงของการล้มละลายของบริษัทการบินไทย สายการบินแห่งชาติ คือ การทุจริต ของนักการเมืองละผู้บริหาร ทั้งทุจริตเชิงโยบาย และการบริหารงานในการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น การจัดซื้อเครื่องบิน การเปลี่ยนเครื่องยนต์ การให้ผู้แทนจำหน่ายบัตรโดยสาร การตั้งบริษัทลูกเพื่อแข่งขันในสายการบินตันทุนต่ำ เป็นตัน แต่สุดท้ายมาจบลงที่การลดเงินเดือน ใส่ร้ายพนักงานที่ตั้งใจทำงานและยุบสหภาพแรงงาน คือ เงื่อนงำที่ไม่อาจไว้วางใจและยอมรับได้
ที่ประชุมจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะต่อสู้ร่วมกันจนถึงที่สุด เพื่อให้บริษัทการบินไทยเป็นสายการบินแห่งชาติ ที่เป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งชาติต่อไป และได้มีการตั้ง "คณะทำงานฟื้นฟูการบินไทย" โดยคณะทำงาน ประกอบด้วยประธานสหภาพแรงงานองค์กรสมาชิกของ สรส. และ "คนการบินไทย" ที่ยังมีจิตใจต่อสู้ โดยมีเลขาธิการ สรส. เป็นประธานคณะทำงาน และจะเชิญภาคี แนวร่วม พันธมิตร ทั้งที่เป็นองค์กรภาคประชาชน องค์การแรงาน นักวิชาการ ที่ยังคงรัก หวงแหนการบินไทย สายการบินแห่งชาติ และวางจังหวะก้าวในการขับเคลื่อนคู่ขนานกับรับาล และจะแถลงให้ทราบการดำเนินงานเป็นระยะต่อไป ขอให้องค์กรสมาชิกติดตามและร่วมกันขับเคลื่อนตาม มติ สรส. และคณะทำงานต่อไป