background-default

วันเสาร์ ที่ 23 พฤศจิกายน 2567

'ส.ว.คำนูณ' หวั่นซ้ำรอย 6 ตุลา ขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อหยุดยั้ง

'ส.ว.คำนูณ' หวั่นซ้ำรอย 6 ตุลา ขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อหยุดยั้ง

"คำนูณ" เสนอให้รัฐบาลเปิดสภาเพื่อให้มีการอภิปรายทั่วไปโดยด่วน มองว่าการชุมนุมที่ผ่านมา มีบางคนเกินขอบเขตไปมาก ข้อเรียกร้องการเมืองสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย 6 ตุลา ภาค 2

เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 63 ที่อาคารรัฐสภา นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา ได้ลุกขึ้นอภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมที่ส่อเค้าจะลุกลามบานปลาย คล้ายเหตุการณ์สำคัญ 6 ตุลาคม 19 จึงเสนอให้ที่ประชุม ขอท่านประธานวุฒิสภา ได้เสนอเรื่องไปยังรัฐบาลเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพราะสถานการณ์นี้ การบังคับใช้กฎหมายเพิ่งอย่างเดียวไม่อาจจะแก้ปัญหาได้ ต้องใช้ มาตรการการเมืองควบคู่กับกฎหมาย

นายคำนูณ กล่าวบางช่วงว่า ขอกราบเรียนหารือกับท่านประธานด้วยความอึดอัด คับข้อง และเชื่อว่าพี่น้องประชาชนจำนวนมากในวันนี้ตกอยู่ในสภาวะไม่ต่างจากผม หลังจากได้รับทราบและติดตามการชุมนุมทางการเมือง 3 ครั้ง

3 สิงหาคม - อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

9 สิงหาคม - ประตูท่าแพ เชียงใหม่

10 สิงหาคม - ลานพญานาค ธรรมศาสตร์

และยิ่งอึดอัดคับข้องหนักยิ่งขึ้นเมื่อทราบเป็นเบื้องต้นว่าได้มีประกาศชุมนุมครั้งที่ 4 ในวันพรุ่งนี้

12 สิงหาคม - สวนลุมพินี

เฉพาะการชุมนุมเมื่อวานนี้ 10 สิงหาคม เป็นการชุมนุมที่มีเนื้อหารุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต มีข้อเรียกร้องที่แทบไม่เคยมีคนไทยคนไหนเรียกร้องในการชุมนุมสาธารณะมาก่อน มันเลยเถิดเกินการขับไล่รัฐบาล มันเลยเถิดเกินการเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และมันชวนให้คิดว่าการไม่ยอมรับเพียงการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยขอให้ยกร่างใหม่ทั้งฉบับสถานเดียวนั้นเป้าหมายสูงสุดคืออะไร สรุปคือมันเลยเถิดขอบเขตของการต่อสู้ทางการเมืองปกติไปไกล

นอกจากนั้นยังเป็นการชุมนุมที่มีรูปแบบบางช่วงบางตอนนำประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดมายาวนานด้วยความเคารพศรัทธาสูงสุดของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศมาล้อเลียน และยังเป็นการร่วมกระทำการของผู้ต้องหา 2 คนที่เพิ่งได้รับการประกันตัวออกมา อันมีลักษณะที่เข้าข่ายผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว

นอกจากนี้ ยังมีการไลฟ์สดมาจากต่างประเทศของผู้หลบหนีคดีท่านหนึ่งที่เป็นฮีโร่ของเยาวชนจำนวนหนึ่ง ผู้หลบหนีคดีท่านนี้เคยกล่าวไว้ในอดีตทำนองว่า ประเทศนี้ต้องลงเอยด้วยความรุนแรงและสงครามกลางเมือง เกิดคำถามตามมามากมาย คำถามหนึ่งที่พี่น้องประชาชนถามผ่านผมมาคือเราจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปหรือทราบความยากอย่างยิ่งในการบริหารจัดการของรัฐบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดก็เข้าทาง พยายามใช้การเมืองนำอย่างเดียวก็เข้าทาง และเพราะทราบความยากยิ่งในการบริหารจัดการเช่นนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องหารือผ่านท่านประธานไปยังท่านนายกรัฐมนตรี ขอให้ท่านใช้ ‘ตัวช่วย’ ตามระบบการเมืองที่มีอยู่ดำเนินมาตรการทางการเมือง

 

ด้วยความรู้ความคิดและกำลังสติปัญญาอันจำกัด ผมเห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินมาตรการทางการเมืองด้วยการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่วไปในรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 โดยเร็วที่สุด แม้พวกเราสมาชิกทั้ง 2 สภาจะมีความคิดเห็นที่หลากหลาย แตกต่างกัน กระทั่งอาจตรงกันข้ามกันในบางส่วน แต่เชื่อว่าพวกเราสมาชิกทั้ง 2 สภามีความเห็นร่วมกันประการหนึ่งว่าการกระทำบางอย่างของผู้ชุมนุมบางคนเกินขอบเขตที่ควรจะเป็นไปไกลมาก ทำให้ข้อเรียกร้องทางการเมืองตามปกติส่วนใหญ่ต้องเสียไป และสุ่มเสี่ยงจะเป็นการจุดชนวนความรุนแรงอย่างถึงที่สุดขึ้นในสังคมไทยอีกครั้งหนึ่ง ซ้ำรอยเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 อันจะเป็นการสร้างบาดแผลลีกส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่กำลังเผชิญมหาวิกฤตทางเศรษฐกิจโลกรุนแรงระดับ 100 ปีจะเกิดสักครั้งอยู่ขณะนี้ จะยิ่งซ้ำเติมให้ประเทศจมดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งหายนะ

สรุปคือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเท่านั้นไม่พอ ต้องดำเนินมาตรการทางการเมืองควบคู่กันไปด้วย รัฐสภาควรจะเป็นเวทีหาทางออกให้บ้านเมือง ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่อาจจะเรียกได้ว่า ‘หกตุลาภาคสอง’ ขึ้นมาในเร็วๆ นี้ และหากถึงวันนั้น หากรัฐสภายังคงอยู่ หากรัฐธรรมนูญยังคงอยู่ การขอเปิดอภิปรายทั่วไปในรัฐสภาตามมาตรา 165 ก็จะเป็นทางเลือกที่ต้องเกิดขึ้น ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นหลังเหตุรุนแรงในปี 2552 และ 2553