ส่องธุรกิจ 'คาเฟ่' ไทย เข้าง่าย แต่ทำไมอยู่ได้ไม่นาน
ส่อง 4 ปัจจัย ที่ทำให้ธุรกิจ 'คาเฟ่' ในไทย แม้เข้าง่าย แต่ใช่จะอยู่ในตลาดได้นาน โดยเฉพาะร้านแนวหรูที่เน้นเจาะกลุ่มผู้บริโภคมีกำลังซื้อ ที่จำต้องโบกมือลาไปแล้วหลายร้าน
การเติบโตและหายไปของ "ร้านอาหาร" และ "คาเฟ่" เป็นเรื่องธรรมดาของวงจรธุรกิจ ที่มีต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่เสมอ ทั้งจากปัจจัยภายใน และภายนอกที่ควบคุมไม่ได้
ช่วงต้นปี 2563 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เคยคาดการณ์ ถึงธุรกิจร้านอาหารจะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 4.37-4.41 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 1.4–2.4% จากปี 2562 โดยระบุว่าถึงแม้จะมีการขยายตัวแต่ก็มีแนวโน้มต้องพบกับโจทย์ท้าทายรอบด้านที่รออยู่ อาทิ การหดตัวลงของยอดขายในร้านเดียวกัน (Same Store Sales) ที่มีการหดตัวลงอย่างต่อเนื่องจาก 15.2 ล้านบาท/สาขา ในปี 2559 มาเป็น 14.3 ล้านบาท ในปี 2562 รวมถึงต้นทุนทางธุรกิจที่คาดว่าจะสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพยายามควบคุมต้นทุนในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องรักษาคุณภาพของสินค้าและบริการให้อยู่ในระดับที่ผู้บริโภคคาดหวังให้ได้ นอกจากนี้บทบาทที่มากขึ้นของเทรนด์เทคโนโลยีก็ถือว่า เป็นความท้าทายที่ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถรองรับห่วงโซ่ธุรกิจที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้อย่างการระบาดของ "โควิด-19" ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง หรือการดำเนินธุรกิจบริการที่ต้องพบปะลูกค้าโดยตรงต้องหยุดชะงัก จนส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารและคาเฟ่ต้องชะงักตามไปด้วย สถานการณ์เหล่านี้ไม่ได้กระทบทั้งธุรกิจรายเล็กๆ เท่านั้น แต่ยังต่อเนื่องถึงธุรกิจรายใหญ่ที่อยู่ในสนามนี้ จนต้องโบกมือลา
หลายธุรกิจตัดสินใจปิดตัวลงในช่วงนี้ เพื่อยุติกิจการก่อนขาดทุน หรือด้วยปัจจัยอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่คาเฟ่ที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อปานกลางค่อนสูง อย่าง Vanilla (วานิลลา) ในเครือ S&P, The Coffee Bean & Tea Leaf เชนกาแฟพรีเมียมสัญชาติอเมริกัน และ Ladurée (ลาดูเร) ทีรูมสุดหรูจากปารีส
"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" พาไปดูการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ "คาเฟ่หรู" ที่ทยอยถอนตัวออกจากสนามธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มไทย พร้อมหาคำตอบจากคำถามที่ว่า
..ทำไม คาเฟ่หรู ถึงอยู่ในไทยได้ไม่(ค่อย)นาน?
- Vanilla
Vanilla (วานิลลา) คาเฟ่อาหารและเครื่องดื่มทั้งอาหารจานหลัก รวมถึงของหวานสไตล์อิตาเลียน และอาหารนานาชาติ ที่ตกแต่งร้านให้ลูกค้าอยู่ท่ามกลางบรรยากาศทันสมัย อบอุ่น ซึ่งทางร้านเรียกมันว่าประสบการณ์แบบวานิลลา เริ่มต้นให้บริการในกรุงเทพฯ ที่มี วิสาขา ไรวา ทายาทธุรกิจ S&P เป็นเจ้าของไอเดีย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 2004
ปี 2004 วานิลลาเริ่มต้นเป็นร้านคาเฟ่เล็กๆ ใจกลางสยาม ที่ให้บริการอาหารฝรั่งแบบง่ายๆ และเบเกอรี่สไตล์โฮมเมด หลังจากผลการตอบรับที่ดี ในปี 2005 จึงได้เปิดร้านอาหารเต็มรูปแบบขึ้นกลางซอยทองหล่อภายใต้ชื่อ Vanilla Restaurant เสิร์ฟอาหารฝรั่งและเอเชีย
ปี 2006 ร้าน Vanilla Brasserie ได้เปิดตัวขึ้นที่สยามพารากอน ในรูปแบบคาเฟ่สไตล์ฝรั่งเศส หลากหลายรสชาติทั้งคาวและหวาน ปี 2008 ได้เปิดร้านชื่อ Vanilla Garden ในซอยเอกมัย 12 โดยมีคอนเซปต์เป็นคาเฟ่ในสวน ร่มรื่นที่สงบและเป็นส่วนตัว ประกอบด้วยร้าน Vanilla Cafe ให้บริการอาหารญี่ปุ่น-อิตาเลียน และร้าน Royal Vanilla ที่ให้บริการอาหารจีนติ่มซำ
ปี 2012 ผุดร้าน Vanilla Homecafe เปิดให้บริการภายในศูนย์การค้าสีลมคอมเพล็กซ์ ให้บริการอาหารไทยพื้นบ้าน และอาหารไทยร่วมสมัย ที่ผสมผสานเมนูแบบฝรั่งกับวัตถุดิบแบบไทยๆ อย่างลงตัว และอีก 2 ปีถัดมามีร้าน Royal Vanilla ในปี 2014 ก่อนปิดตัวลงและปรับเป็นร้าน Vanilla Bakeshop ร้านขนมอบแนวใหม่ ที่ทำสดใหม่แบบที่ต่อที่ในบรรยากาศแบบครัวเปิด
ท้ายที่สุดเดือน ก.ค. ปี 2020 วานิลลาประกาศปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยก่อนปิดเหลือสาขาอยู่ 2 สาขา คือสาขาเอ็มควอเทียร์ จะเปิดให้บริการวันสุดท้าย ในวันที่ 23 สิงหาคม 2563 ส่วนร้านสาขาสยามพารากอน จะเปิดให้บริการวันสุดท้าย ในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 นี้
ธุรกิจรสวานิลลา
ร้านเครือวานิลลา อยู่ภายใต้ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ธุรกิจร้านอาหาร กาแฟ เครื่องดื่ม ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เบเกอรี่ อาหารสำเร็จรูปต่างๆ ที่ใช้ชื่อ ร้านเอส แอนด์ พี ที่รู้จักกันดี
เรทราคาของวานิลลา สำหรับเครื่องดื่มอยู่ที่ 90-150 บาท ส่วนราคาอาหารเฉลี่ย 251-500 บาท/เมนู ซึ่งหากประเมินจากสถานที่ตั้งของร้านย่านใจกลางกรุง และกลุ่มเป้าหมาย ราคาเหล่านี้ก็ดูสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายผู้มีรายได้ระดับกลางและสูง
จุดขายของวานิลลา ไม่ได้ขายแค่อาหารและเครื่องดื่ม แต่ขายดีไซน์ แถมบรรยากาศอบอุ่น ถ่ายรูปสวย สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่มาใช้บริการ ผ่านการตกแต่งที่หลากหลายสไตล์เชื่อมโยงกับสไตล์อาหารที่ต่างกันออกไปในแต่ละสาขา ทำให้วานิลลาเป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่ได้รับความนิยมจากสายคาเฟ่ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ลูกค้าใหม่ๆ กลายเป็นลูกค้าเก่า ที่ต้องอาศัยการซื้อซ้ำ แม้สารพัดเมนูจะทำให้ลูกค้าติดใจแต่จัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่จำกัด
- The Coffee Bean & Tea Leaf
The Coffee Bean & Tea Leaf (เดอะ คอฟฟี่ บีน แอนด์ ทีลีฟ) ร้านกาแฟสัญชาติอเมริกัน ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1963 โดย Jollibee Food Corp มีสาขาที่เปิดเองและแฟรนไชส์กว่า 1,000 แห่งในสหรัฐอเมริกาและอีก 31 ประเทศทั่วโลก ก่อนขยายสาขามาเจาะตลาดคอกาแฟไทยเมื่อ 29 มีนาคม 2556 โดยมีบริษัท เอฟโวลูชั่น แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำเข้า และขยายสาขาในไทย 8 สาขา ได้แก่ Central Embassy, Central World, MBK Center, Mike Shopping Mall พัทยา, Zpell ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, MBK Center, เมกา บางนา และ The Bright พระราม 2
เมื่อวันที่ 18 ก.ค.63 เพจ The Coffee Bean & Tea Leaf Thailand ได้ประกาศว่า จะปิดทำการอย่างถาวรทุกสาขา ในวันที่ 20 ก.ค. 63 พร้อมขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอดและจะขอเก็บความทรงจำดีๆ ที่ได้รับจากลูกค้าทุกท่านไว้ด้วยหัวใจ
The Coffee Bean & Tea Leaf บนเส้นทางร้านกาแฟไทย
แม้ The Coffee Bean & Tea Leaf จะชูกาแฟและชาเป็นหลัก แต่ยังมีอาหารคาวหวาน สไตล์ตะวันตกพร้อมเสิร์ฟ โดยเฉลี่ยราคากาแฟและเครื่องดื่มอยู่ที่ 95-105 บาท ส่วนราคาอาหารเริ่มต้นที่ 105 บาท
แม้จะมีเรื่องราวของเครื่องดื่มกาแฟพรีเมียมที่ชวนลิ้มลอง มีอาหารครบวงจร มีโปรโมชั่นจูงใจร่วมโปรโมชั่นกับพาร์ทเนอร์เพื่อจูงใจให้ลูกค้าเข้ามาลิ้มลองเป็นครั้งคราว แต่ The Coffee Bean & Tea Leaf ยังไม่อาจต้านทานการต่อสู้อย่างดุเดือดในตลาดกาแฟและเครื่องพรีเมียมในไทยได้ จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง คู่แข่งที่มีแบรนด์ที่เป็นรู้จักมากกว่า เมื่อเทียบกับแบรนด์ที่มีเรทราคาใกล้เคียงกัน
- Ladurée
Ladurée (ลาดูเร) Tea Room ที่มีเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1862 โดย "หลุยส์ เออร์เนส ลาดูเร" เปิดร้านเบเกอรี่บนถนนรอยาลในกรุงปารีส จากนั้นปี 1871 บารอน เฮาส์มานน์ ได้ปรับโฉมร้านให้กลายเป็นร้านพาสทรีแทนด้วยการตกแต่งร้านใหม่พัฒนาคาเฟ่ให้ดูหรูหราขึ้น จนเป็นที่สังสรรค์ของชาวปารีสชั้นสูง และคิดค้นมาการง 2 ชิ้นประกบกัน สอดไส้ด้วยครีมกานาช จนมาการงของลาดูเร กลายเป็นตำนานที่น่าจดจำจากรุ่นสู่รุ่น จนเป็นขนมโปรดในใจของใครหลายๆ คน
ลาดูเร เริ่มเปิดในบริการในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2016 ที่สยามพารากอน ห้องน้ำชาของลาดูเร ถูกตกแต่งสไตล์ฝรั่งเศสแบบวินเทจ ให้ลุคหรูหรา ผสมความหวานสไตล์ Feminine โดยการออกแบบของร้านได้ดีไซนเนอร์ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ดูแลทั้งหมด
วิถี "ลาดูเร"
จุดขายของร้านนี้ หนีไม่พ้นเมนูมาการง ขนมซิกเนเจอร์ของร้าน อีกทั้งยังมี Collection น้ำชาของตัวเอง 20 กว่าตัวให้ลูกค้าได้ลิ้มรสอันเป็นเอกลักษณ์ นอกจากเซตน้ำชาราคาพรีเมียม ยังมีเมนูอาหารมื้อหลักสุดหรู ต้นตำรับฝรั่งเศสให้ได้สัมผัส เช่น Omelette Nature ออมเล็ตเนื้อนุ่มเนียน, Foie Gras De Canard ฯลน ราคาอาหารจานหลักเริ่มต้นที่ 280 บาท มาการงเริ่มต้น 8 ชิ้น 1,000 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 125 บาท ราคาอาหารที่สูง ทำให้ลาดูเรเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม หรือเป็นร้านที่ถูกมองว่าเป็นร้านที่จะเดินไปเข้าเฉพาะโอกาสพิเศษ
อย่างไรก็ตาม แม้ ลาดูเร ประกาศให้บริการวันสุดท้าย 31 ส.ค. นี้ แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้ว่า ลาดูเร จะปิดตัวในไทยอย่างถาวร เพราะการปิดตัวในครั้งนี้เป็นเพราะหมดสัญญากับสยามพารากอนเท่านั้น ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นทีรูมสุดหรูจากฝรั่งเศสกลับมาโลดแล่นในเส้นทางธุรกิจอาหารบ้านเราอีกครั้งก็เป็นได้
- ทำไม "คาเฟ่หรู" ถึงอยู่ในไทยได้ไม่นาน?
เป็นที่ทราบกันดีกว่าธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงร้านอาหารในไทยมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง และมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่เสมอ ทว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการปิดตัวลงของ คาเฟ่หรูเหล่านี้ ประกอบไปด้วย
- ปัจจัยด้านราคา
ระดับ "ราคา" ของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่อยู่ในร้าน เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนถึงความพรีเมียมของสินค้าและบริการที่ลูกค้าจะได้รับ แต่ในอีกด้านหนึ่งระดับราคาที่สูง จะจำกัดขอบเขตของกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม (niche market) ที่มีไลฟ์สไตล์สอดคล้องกับสไตล์กับร้าน เดินทางมาเพื่อลิ้มลองสักครั้ง ซึ่งโอกาสการใช้บริการซ้ำจะมีน้อยลงหากลูกค้าไม่ได้สัมผัสถึงความคุ้มค่า หรือราคาที่สูงทำให้มองว่าเป็นร้านที่จะใช้บริการในโอกาสพิเศษเท่านั้น
- ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม แข่งขันเดือด
ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังคงเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของไทย เนื่องจากสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยที่เปิดรับวัฒนธรรมการกินที่หลากหลาย ชอบลิ้มลองอาหารใหม่ๆ นิยมกินอาหารที่ร้านเมื่อมีโอกาสพิเศษ รวมไปถึงกระแสนิยมของคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีเทรนด์กินตามเซเลป ตามรอยดารา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจร้านอาหารน้อยใหญ่ลงสนามชิงพื้นที่กระเพาะผู้บริโภค ทั้งร้านจากผู้ให้บริการรายย่อยจนถึงเชนผู้ให้บริการด้านอาหารรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ การกำหนดการแข่งขันในตลาดที่สามารถครองตลาดได้ยาวนานสำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (niche market) จึงเป็นเรื่องท้าทาย และไม่ใช่เรื่องง่ายในระยะยาวที่ปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
- พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ปัจจุบันการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มกลายเป็นเทรนด์ หรือกระแสความนิยมที่ผลักให้เมนูที่กำลังอยู่ในความสนใจขึ้นแท่นเมนูขายดี หรือสร้างปรากฏการณ์ต่อแถวยาวเหยียดมานักต่อนัก คาเฟ่ที่เริ่มต้นเจาะกลุ่มผู้บริโภคตามเทรนด์จึงต้องพยายามปรับกลยุทธ์บางอย่างเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้เมื่อความนิยมลดลง ดังจะเห็นได้จากการโปรโมชั่นลดราคา ข้อดีของการทำโปรโมชั่นคือการกระตุ้นการขาย ที่ทำให้ลูกค้าใหม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง ในขณะที่ลูกค้าเก่ามีโอกาสได้ใช้บริการซ้ำในราคาต่ำลง อย่างไรก็ตามอันตรายของการพยายามใช้กลยุทธ์ด้านราคาเข้ามาส่งเสริมการขายอยู่บ่อยๆ ก็มีคมอีกด้านหนึ่งคือทำให้ลูกค้าเฝ้ารอช่วงเวลาโปรโมชั่นที่อาจทำให้มีรายได้ต่ำลง และไม่ซื้อสินค้าราคาเต็มอีกต่อไป
อีกหนึ่งความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค "ความคาดหวัง" ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งการบริการ รสชาติ ความสวยงามของร้าน มุมถ่ายภาพ แสงของร้าน สถานที่จอดรถ พร็อพตกแต่ง ฯลฯ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าความคาดหวังเหล่านี้มักมากับระดับราคา ยิ่ราคาสูง ความคาดหวังยิ่งสูงตามไปด้วย
- ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ความหรูหรา ไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญในวันที่รายได้สะดุด และทุกคนยืนอยู่บนความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้กำลังซื้อสินค้าและบริการที่มีราคาสูงลดลง การจับจ่ายใช้สอยบนความกังวล ทำให้คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องเลือกสิ่งที่จำเป็นกับชีวิตมากกว่าอาหารมื้อหรู จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยที่ทำให้แบรนด์ต้องยอมถอยจากตลาดที่ไม่สามารถสร้างการเติบโตต่อไปได้แล้ว เพราะรายได้ไม่คุ้มกับต้นทุนที่ต้องจ่ายในการบริหารจัดการร้าน
โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรก ปี 2563 ที่ธุรกิจท่องเที่ยวหดตัว ตามจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่ลดลงมากในทุกตลาด จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องในแหล่งท่องเที่ยวและร้านอาหาร ยอดขายลดลงมากกว่า 50–60%
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจคาเฟ่เหล่านี้ไม่มีสูตรสำเร็จ และการปิดตัวลงไม่ได้ความว่า "ล้มเหลว" เพราะการปรับตัวของธุรกิจเป็นหนึ่งในทางเลือกว่าผู้ให้บริการจะหยุด หรือจะปรับตัวเพื่อหาโอกาสใหม่ๆ ในตลาดของผู้บริโภคเดิม ที่อาจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปได้ตลอดเวลาเท่านั้น
และนับจากนี้ความท้าทายของธุรกิจอาหารจะเพิ่มขึ้นไปตามความไม่แน่นอนทุกมิติซึ่งน่าติดตามต่อไปว่า ผู้ให้บริการร้านอาหารและเครื่องดื่มในไทย หรือคาเฟ่หรูที่ยังดำเนินธุรกิจอยู่จะปรับตัวต่อไปอย่างไรต่อไป
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย kasikornresearch bkkmenu SiamParagon Vanillaindusty Positioning S&P