อาร์เซ็ปขัดเกลาข้อกฎหมาย 20 บทเสร็จแล้ว พร้อมลงนามพ.ย.นี้
พาณิชย์คาดเสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบการลงนามความตกลงอาร์เซ็ป ในเดือนตค. ก่อนลงนาม ที่เวียดนามในเดือนพย. ชี้ อาร์เซ็ปออกแบบให้เหมาะกับประเทศสมาชิก
นายรณรงค์ พูนพิพัฒน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์กล่าวในการสัมมนา "ก้าวต่อไปของไทย หลังปิดดีลอาร์เซ็ป" ว่า ความคืบการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคหรืออาร์เซ็ป (RCEP) ในขณะนี้ ประเทศสมาชิกได้ขัดเกลาถ้อยคำทางกฎหมายของความตกลงทั้ง 20 ข้อบทเสร็จแล้ว คาดว่าจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นชอบการลงนามดังกล่าวได้ในเดือนต.ค.นี้ ก่อนที่จะมีการลงนามความตกลงอาร์เซ็ป ในช่วงการประชุมสุดยอดอาร์เซ็ป ในเดือนพ.ย.63
“เป้าหมายจะมีการการเจรจาให้สมบูรณ์ภายในส.ค.นี้ จากนั้นถึงจะนำเข้าครม.และจะนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบการให้สัตยาบันความตกลง เมื่อสภาฯให้ความเห็นชอบ ประเทศไทยจึงจะไปแจ้งกับเลขาธิการอาเซียนในการให้สัตยาบันเพื่อให้ความตกลงที่ไทยลงนามไปแล้วมีผลใช้บังคับ”
สำหรับโครงสร้างความตกลงอาร์เซ็ป มีทั้งหมด 20 บท ประกอบด้วย 1.บทบัญญัติพื้นฐานและคำนิยามทั่วไป 2.การค้าสินค้า 3.กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า 4.พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า 5.สุขอนามัยและสุขอนามัยพืช 6.มาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค และกระบวนการตรวจสอบและรับรอง 7.การเยียวยาทางการค้า 8.การค้าบริการ ภาคผนวกบริการการเงิน ภาคผนวกบริการโทรคมนาคม ภาคผนวกบริการวิชาชีพ 9.การเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา 10.การลงทุน11.ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ 12.วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 13.ทรัพย์สินทางปัญญา 14.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 15.การแข่งขัน 16.การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ 17.บทบัญญัติเกี่ยวกับสถาบัน 18.บทบัญญัติทั่วไปและข้อยกเว้น 19.การระงับข้อพิพาท 20.บทบัญญัติสุดท้าย
นายรณรงค์ กล่าวว่า ความตกลงอาร์เซ็ปนี้มีจุดขายสำคัญที่นอกจากจะเป็นความตกลงการค้าที่มีขนาดใหญ่สุดในโลก เพราะมีประชากรของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และคู่เจรจาอีก 6 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ซึ่งมีประชากรรวมกันเกือบ 3,600 ล้านคน หรือเกือบ 50% ของประชากรโลกแล้ว ความตกลงอาร์เซ็ป ยังเป็นความตกลงที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในแง่ลบกับประเทศสมาชิก ซึ่งถือว่ามีความแตกต่างจากข้อตกลงทางการค้าอื่นๆ ในโลก ซึ่งกฎเกณฑ์ต่างๆ ในข้อตกลงอาร์เซ็ปจะมีการออกแบบให้สอดรับกับแต่ละประเทศสมาชิก
อย่างไรก็ดี ในอนาคตหลังจากความตกลงอาร์เซ็ปได้ลงนามในสัตยาบันและมีผลบังคับใช้แล้ว ภายในระยะเวลา 3-5 ปีจะมีการพัฒนาความตกลงหรือทบทวนความตกลงการเปิดเสรีตลาดสินค้าให้เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีการเปิดตลาดอยู่ในระดับ 90%, การทบทวนการเจรจาในข้อบทหรือกติกาในมาตรการที่มิใช้ภาษี, เรื่องถิ่นกำเนิดสินค้า, การระงับข้อพิพาท, การเปลี่ยนแปลงพิกัดอัตราภาษีศุลกากร เป็นต้น ขณะเดียวกันก็จะมีการเปิดรับสมาชิกใหม่เพิ่มเติมอีกในอนาคตด้วย
นายรณรงค์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังสามารถใช้เกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าเดียวกันในการส่งออกไป 16 ประเทศ จากเดิมที่ใช้เกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าที่แตกต่างกันตามความตกลง FTA แต่ละฉบับ อีกทั้งเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ความตกลงอาร์เซ็ป ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้แหล่งวัตถุดิบที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งจากประเทศในกลุ่มและนอกอาร์เซ็ป ได้อีกด้วย
ขณะเดียวกันอาร์เซ็ป ยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในไทย และช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนในประเทศสมาชิกอาร์เซ็ป ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพอีกด้วย โดยผู้ประกอบการควรศึกษากฎระเบียบ และรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมฯ ยังมีแผนจะเดินสายจัดงานสัมมนาในภูมิภาค โดยจะประเดิมจัดที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ขอนแก่น) และต่อด้วยภาคใต้ (สงขลา) ในเดือนก.ย.63 เพื่อให้ภาคส่วนต่างๆ ได้มีโอกาสรับทราบข้อมูลอย่างทั่วถึง และเตรียมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จาก อาร์เซ็ปอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะหลังจากที่เผชิญกับวิกฤติโควิด-19 ความตกลงอาร์เซ็ป จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างกิจกรรมทางการค้าการลงทุน และช่วยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยและในภูมิภาคให้ดีขึ้น