'ซอสภูเขาทอง' ประคองคู่ค้า หวังกอดคอพ้นวิกฤติโควิด-19

ถือเป็นหนึ่งในสินค้าอุปโภคบริโภค(FMCG)ที่จำเป็น โดยเฉพาะอยู่ในหมวด “อาหาร” เมื่อไรวัสร้ายระบาด บริษัทจึงไม่ได้กระทบนัก สำหรับผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรส “ซอสภูเขาทอง” ยิ่งช่วงโรคโควิด-19 ระบาด ประชาชนแห่กักตุนสินค้าไว้บริโภคจำนวนมาก

โดยผลประกอบการ 6 เดือนแรกของปีนี้ ของบมจ.ไทยเทพรส จึงออกมาค่อนข้างประคองตัวเองในเกณฑ์ดี โดยยอดขายรวมอยู่ที่ 1,459.28 ล้านบาท ลดลง 1.24%  “กำไรสุทธิ” 265.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.65%  แบ่งเป็นยอดขายในประเทศอยู่ที่ 1,123.74 ล้านบาท ลดลง 1.34% ยอดขายต่างประเทศ 181.31 ล้านบาท เติบโต 9.79 %  ยอดขายอุตสาหกรรม 137.13 ล้านบาท ลดลง 9.08%  บริษัทร่วม 17.10 ล้านบาท ลดลง 24.27%

“ธุรกิจเรามีสะดุดบ้างในช่วงแรกที่มีการล็อกดาวน์ แต่เราปรับตัวโดยวิ่งเข้าหาลูกค้าโดยตรง คู่ค้าที่เป็นลูกค้าเราเดือดร้อนอย่างไร ร้านอาหาร ภัตตาคารเปิดได้ไหม พนักงานของเราต้องใส่ใจตรงนี้”   สุทัศน์   ภูเจริญชัยกิจ    ผู้จัดการฝ่ายขายในประเทศ บริษัท ไทยเทพรส จำกัด(มหาชน) ฉายภาพการทำธุรกิจการตลาดท่ามกลางวิกฤติโควิด

การช่วยคู่ค้ามีความสำคัญ โดยฉพาะบรรดา “ร้านอาหารขนาดกลางและเล็ก” เป็นหนึ่งในช่องทางขายที่รวมอยู่กับร้านค้าทั่วไป(Traditional trade) มีสัดส่วนราว 60% เมื่อมีมาตรการล็อกดาวน์ป้องกันโรคโควิด-19 แพร่กระจาย ทำให้ร้านค้าเหล่านั้นต้อง “ปิดให้บริการ” ไปด้วย

นอกจากนี้ อีกช่องทางขายที่กระทบคือ “บริการร้านอาหาร” หรือ Food Service สัดส่วน 15% ประกอบด้วยธุรกิจโรงแรม และภัตตาคาร ทันทีที่ไวรัสร้ายระบาด “ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว” เผชิญความยากลำบากมาก เพราะไร้เงานักเดินทาง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปีนึงมาเยือนจุดหมายปลายทาง(Destination)ประเทศไทยเกือบ 40 ล้านคน ทำให้การบริโภคซอสปรุงรสเติบโตตามไปด้วย

“ร้านอาหาร ภัตตาคารที่ปิดให้บริการจำนวนมาก กระทบเราหนักจริงๆ ยิ่งประเมินสถานการณ์ตลาดเมืองท่องเที่ยวหลัก ภูเก็ต สมุย เชียงใหม่ 3 จุดหมายปลายทางนี้ยอดขายตกมากจริงๆ อย่างภูเก็ตยอดขายหายไป 80% ได้”

2 ช่องทางหลักเผชิญวิกฤติยอดขายหดตัว แต่ช่องทางห้างค้าปลีกสมัยใหม่สัดส่วนราว 25% ยังพอขยายตัวได้ เพราะช่วงหยุดอยู่บ้าน ผู้บริโภคผันตัวเป็นเชฟ ทำกับข้าวกันมากขึ้น แต่ยอมรับว่าไม่สามารถทดแทนตัวเลขช่องทางอื่นที่ลดลงได้

สถานการณ์ข้างต้น ประกอบกับ แนวโน้ม 4 เดือนสุดท้ายการผลักดันให้ตลาดฟื้นตัวกลับมาเติบโตเป็นเรื่อง “ยาก” พอตัว

“4 เดือนสุดท้ายหนัก ยากนะที่จะเติบโต ตลาดไม่ง่าย เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย การที่นักท่องเที่ยวหายไป 40 ล้านคน จะกระตุ้นให้คนไทยกินซอสปรุงรสเพิ่ม ขายเพิ่มยาก หากเราเติบโต 1-2% ถือว่าแฮปปี้ ท่ามกลางหลายธุรกิจติดลบมหาศาล” เหตุผลเพราะจำนวนประชากรที่น้อยลง เทรนด์สุขภาพยังส่งผลต่อการเลือกบริโภคโซเดียมในปริมาณเหมาะสมด้วย

แม้ปัจจัยบวกจะ “ริบหรี่” มีเพียงนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐที่เดิน “ถูกทาง” แล้ว ทว่า บริษัทยังเดินหน้าทำตลาดโค้งสุดท้าย ด้วยงบราว 170 ล้านบาท ถูกเทไปยังสื่อต่างๆ โดยเฉพาะออนไลน์มากกว่า 50% ลดการโฆษณาทางทีวีลงเป็นครั้งแรก รวมถึงให้น้ำหนักการโฆษณาภายในห้างค้าปลีก(Instore Media)มากขึ้นด้วย

ส่วนการลงทุนปีนี้ยังไม่มี เพราะ 1-2 ปีได้ทุ่มเงินร่วม “ร้อยล้านบาท” เพื่อซื้อเครื่องจักรขยายกำลังการผลิตสินค้าแล้ว

ปีนี้ ตลาดในประเทศหดตัวเล็กน้อย แต่การส่งออกไปยัง 50 ประเทศทั่วโลก เติบโตได้ดีเกือบ 10% เพราะบางประเทศสต็อกสินค้าไม่เพียงพอช่วงโควิดทำให้มีคำสั่งซื้อเพิ่ม โดยเฉพาะจากสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่สัดส่วน 50% ส่วนเอเชียสัดส่วน 30% ยังชะลอตัวจากตลาดอินเดีย และยุโรป 20%

สำหรับภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ปรุงรสมีมูลค่าราว 45,000 ล้านบาท การเติบโตค่อนข้างนิ่ง 2% หากแบ่งประเภท กลุ่มซอสปรุงรสมีมูลค่า 20,000 ล้านบาท และผงปรุงรส ผงปรุงรสสำเร็จรูป และเครื่องปรุงอาหารรวม 25,000 ล้านบาท ปัจจุบันซอสภูเขาทองเป็น “ผู้นำ” ตลาดครองส่วนแบ่งราว 53%

อย่างไรก็ตาม ปี 2563 ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงซบเซา ส่วนการฟื้นตัวคาดว่าจะใช้เวลา 1-2 ปี

“สินค้าอุปโภคบริโภคมีทั้งฟื้นตัวเร็ว เร็วปานกลาง และฟื้นตัวช้า หากพิจารณาแค่หมวดอาหารอาจยังไม่หดตัวมาก เพราะเป็นสินค้าจำเป็น แต่ non-food ต้องดูเป็นรายสินค้า เพราะบางอย่างผู้บริโภคลดความจำเป็นลง”

แม้ประเทศไทยคลายล็อกดาวน์ธุรกิจมาร่วมเดือนแล้ว แต่ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเต็มร้อย สินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหนึ่งในหมวดที่ได้รับผลกระทบน้อย เมื่อเทียบกับหลายเซ็คเตอร์ แต่ภาวะเช่นนี้ บริษัทไม่ทอดทิ้ง “คู่ค้า” กลับกันใส่ใจยิ่งขึ้น ทั้งยืดเครดิตเทอม บางรายขอหยุดชำระเงิน รวมถึงขอให้ธุรกิจกลับมาดำเนินกิจการ 3 เดือนแล้วขอเจรจาจ่ายค่าสินค้า เรียกว่า ลูกค้าขาดเหลืออะไรบริษัทพร้อมช่วยเหลือ เพื่อให้รอดไปด้วยกัน