'Black Gold' บนร่างมนุษย์
เปิดโลกธุรกิจ "ขายเส้นผม" เพื่อนำไปเสริมความงาม ทั้งการทำวิกและการต่อผมที่มีดีมานด์ในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล มีการประมาณการว่าปี 2018 มูลค่าในตลาดโลกไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท ขณะที่เบื้องหลังอีกมุมหนึ่งคือแหล่งที่มาของเส้นผมที่หลายคนออกมาต่อต้าน
ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา เราได้ยินแต่เรื่องการนำอวัยวะบางส่วนของผู้ตายไปใช้ประโยชน์ (organ harvesting) ด้วยการเปลี่ยนอวัยวะ แต่การนำผมของคนมีชีวิตไปเสริมความงามของคนมีชีวิตด้วยกันเองอย่างเป็นล่ำเป็นสันนั้นเราไม่ค่อยได้ยินกัน โดยเฉพาะการบังคับตัดผมจากบุคคลในสถานที่กักกันมาขาย
CNN สื่อข่าวใหญ่ของสหรัฐได้นำเรื่องราวที่แปลกนี้มาสู่โลกภายนอก อันนำไปสู่ประเด็นสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ผู้นิยมเสริมความงามทั้งหลายพึงทราบเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจซื้อหามาใช้
การนำเอาผมของคนอื่นมาใช้ประโยชน์มีมานานแล้ว เช่น ทำวิกผม แต่การต่อผมนั้นเป็นเทคโนโลยีที่โลกเพิ่งรู้จักไม่นาน แต่ก็มีส่วนสร้างให้ความต้องการผมในระดับโลกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ในสหรัฐเองเมื่อไม่นานมานี้ทางการได้ยึดผมมนุษย์หนัก 13 ตันที่นำเข้าจากจีน จนเกิดความสนใจว่ามันมีที่มาอย่างไรจึงสามารถส่งออกผมได้มากขนาดนี้ (นี่เป็นการยึดเพียงครั้งเดียว ไม่ทราบว่าเคยทำมากี่ครั้งแล้ว)
ลูกค้าสำคัญในสหรัฐก็คือหญิงแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งให้ความสนใจแก่ผมเป็นพิเศษ ว่ากันว่าเป็นการสร้างความมั่นใจวิธีหนึ่ง ผมที่ใช้มีทั้งจากการประดิษฐ์และธรรมชาติ เพียงแค่ค่าม้วนผมเป็นรูปร่างที่ใช้ผมประดิษฐ์ประกอบก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง มีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 115 ดอลลาร์ (3,500 บาท) แล้ว หากเป็นผมจริงซึ่งให้ความเป็นธรรมชาติมากกว่าก็แพงกว่านี้อีก
การต่อผมเป็นธุรกิจที่มาแรงมากในระดับโลกเฉพาะตลาดของผมดำ ประมาณว่ามีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 80,000 ล้านบาท) ในปี 2018 จนผมสีดำที่ใช้เป็นที่รู้จักกันในนามของ “Black Gold” ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจีน
ทางการสหรัฐรู้ดีว่าผมส่วนหนึ่งที่นำเข้ามานั้นมาจากการบังคับแรงงาน (forced labor) ที่อยู่ในบริเวณ Xinjiang (ซิน-เจียง) ซึ่งอาจมีคนถูกบังคับอยู่ถึง 2 ล้านคน บางส่วนของชนกลุ่มน้อยในบริเวณนั้นถูกบังคับให้อยู่ในค่ายกักกัน (internment camp) ตั้งแต่ปี 2016
Internment camps ไม่ใช่คุก หากเป็นสถานที่กักบริเวณไม่ให้ออกมา โดยมีเรือนนอน ทำอาหาร และอยู่อาศัยในค่ายนั้น (ประวัติศาสตร์ที่ด่างพร้อยของสหรัฐคือในปี 1942-1946 คนเชื้อสายญี่ปุ่นประมาณ 127,000 คน ถูกบังคับให้เข้าไปอยู่ใน internment camps หลังจากญี่ปุ่นถล่ม Pearl Harbor ในปี 1941 ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 และร้อยละ 62 ของคนเหล่านี้มีสัญชาติอเมริกันด้วย)
Xinjiang เป็นเขตปกครองตนเองอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เป็นที่โล่ง มีภูเขาและทะเลทราย เป็นแหล่งที่อยู่ของหลายชนกลุ่มน้อย มีพื้นที่ 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 25 ล้านคน ประกอบด้วยชนกลุ่มน้อย Uyghur (46%) Kazakh (6.5%) Hui (4.5%) และฮั่น (คนจีนส่วนใหญ่ของประเทศ 40.5%) มีภาษาพูดประมาณ 50 ภาษา
Uyghurs (อุย-เก้อ) สะกดได้หลายอย่าง เช่น Uighurs หรือ Uygurs เป็นชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาตุรกี เป็นมุสลิมที่เคร่งครัด ส่วน Kazakh เป็นอีกกลุ่มที่ใช้ภาษาตระกูลตุรกีเช่นเดียวกัน (Xinjiang ซินเจียงอยู่ติดกับประเทศ Kazakhstan) ส่วน Hui นั้นเป็นคนจีนอิสลามซึ่งมีที่อยู่อาศัยในเขตอื่นด้วย
จีนให้ความสำคัญกับบริเวณนี้มากเพราะมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์มาก ไม่ว่าน้ำมัน ก๊าซ แร่เหล็ก ถ่านหินและแร่ธาตุอื่นๆ มีคนที่นับถือศาสนาและเชื้อชาติที่ต่างออกไปจากคนส่วนใหญ่ครอบครองอยู่เป็นเวลายาวนานนับร้อยๆ ปี นโยบายของจีนแต่ดั้งเดิมต่อชนกลุ่มน้อยที่มีอยู่นับสิบนับร้อยกลุ่มคือให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา มีวัฒนธรรมประเพณีที่ต่างไป แต่ก็ไม่วายจับตามองเพราะอาจมีความต้องการเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ โดยมีการสนับสนุนเชื่อมโยงทางการเงินจากประเทศอื่น
ในระยะหลังนี้ ทางการจีนเข้มงวดกับคนในเขตนี้มากเป็นพิเศษโดยเฉพาะในเมืองหลวง Urumqi (อู-รัม-กี) มีกล้องจับใบหน้าและกล้องโทรทรรศน์อยู่ทั้งเมือง เพื่อตรวจดูความปลอดภัยและลามไปถึงการจับกุมคุมขัง และเกิดค่ายกักกันบริเวณนั้นขึ้น จีนเรียก internment camps นี้ว่า “ศูนย์ฝึกอาชีวะ” โดยเชื่อมโยงกับโรงงานอุตสาหกรรมโดยอยู่ในโครงการ "ขจัดความยากจน”
ผมมนุษย์หนัก 13 ตันราคา 800,000 ดอลลาร์ (25.6 ล้านบาท) นี้ทางการสหรัฐกำลังสอบสวนและพบว่ามีสองบริษัทที่นำเข้าและอ้างว่าไม่ทราบว่าผมมนุษย์นี้มาจากค่ายกักกันบังคับมนุษย์ โดยซื้อผมมาจากบริษัทเกาหลีอีกต่อหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ตามกฎหมายระหว่างประเทศ การค้าขายสินค้าที่ผลิตอย่างถูกบังคับจากคุกนั้นผิดอยู่แล้ว ยิ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ด้วยแล้วทำให้ความรู้สึกต่อต้านการใช้ผมคนเสริมความงามยิ่งแรงขึ้น ทุกบริษัทที่สื่อไปสัมภาษณ์ล้วนบอกว่าหากรู้ก็จะไม่นำมาเป็นสินค้าของบริษัทอย่างแน่นอน แง่มุมหนึ่งที่น่าคิดสำหรับสาวแอฟริกัน-อเมริกันก็คือสินค้านี้เป็นผลพวงจากการบังคับใช้แรงงาน ซึ่งก็คือการใช้แรงงานจากทาสนั่นเอง สาวเหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงจากกระบวนเดียวกันในประวัติศาสตร์ ดังนั้นจึงยิ่งมีเหตุผลที่ไม่ควรสนับสนุนการเสริมความงามด้วยสินค้าลักษณะนี้
คนอเมริกันที่ทราบเรื่องนี้ต่างมีความรู้สึกไปในทำนองต่อต้านมาก จนในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมามีการออกกฎหมายชื่อ “The Uyghur Forced Labor Prevention Act” ห้ามการนำเข้าและค้าขายสินค้าที่มาจากการบังคับแรงงานของกรณี Uyghur กฎหมายฉบับนี้ถือว่าเป็นชัยชนะของชนกลุ่มน้อย Uyghur ที่ต้องการให้โลกรู้ความจริงว่ากำลังเกิดการล้ำสิทธิมนุษยชนกับกลุ่มของเขาอย่างไร กฎหมายฉบับนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งเลวร้ายอยู่แล้วยิ่งหนักขึ้น
เคยได้ยินมากว่า 40 ปีแล้วว่าผู้หญิงในแถบเอเชียเราไว้ผมยาวมากเพื่อตัดขาย แต่เมื่อราคาผมพุ่งสูงขึ้นเกือบ 12 เท่าในเวลา 10 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็น Black Gold ผมที่ดูไร้เดียงสาเมื่อก่อนได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการล้ำสิทธิมนุษยชนขึ้นได้อย่างสำคัญ