“แอสเสทเวิรด์”เท2พันล้าน เปิดตัวรีสอร์ทหรูกกระบี่

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทแอสเสทเวิรด์คอร์ จำกัด (มหาชน) หรือAWC กล่าวว่า บริษัทฯใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการโรงแรมบันยันทรี กระบี่ รีสอร์ทหรู ระดับลักชัวรีแห่งใหม่บนชายหาดทับแขก จังหวัดกระบี่ บนเนื้อที่ 20 ไร่ ทำเลติดที่ดินอุทยานเขาหงอนนาค อ.เมือง กระบี่ มีจำนวนห้องพัก 72 ห้อง ประกอบด้วย พูลวิลล่าริมทะเล และห้องพูลสวีท 7 แบบ ตั้งแต่ขนาด 99 ตร.ม. ไปจนถึงขนาด 587 ตร.ม.

บริษัทฯเปิดให้บริการโรงแรมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24ต.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นการพัฒนาโรงแรมแห่งแรกของ AWC ใน จ.กระบี่และยังเป็นการพัฒนารีสอร์ทระดับลักชัวรีครั้งแรกในรอบกว่า10ปีของกระบี่อีกด้วย สำหรับแนวคิดการออกแบบของโรงแรมฯได้รับแรงบันดาลใจจากน้ำและพญานาคตำนานศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพบูชาของคนกระบี่

“เราซื้อที่ดินแปลงนี้มากว่า 14 ปี หรือตั้งแต่ปี 2549 ตัดสินใจเลือกสร้างรีสอร์ทขึ้นมา เพราะเป็นโครงการที่ช่วยสร้างงานสร้างรายได้แก่ชุมชนด้วยโดยบริษัทฯได้ว่าจ้างบันยันทรีกรุ๊ปเครือโรงแรมสัญชาติสิงคโปร์ที่ปัจจุบันบริหารโรงแรมกว่า 50 แห่งทั่วโลกมารับบริหารรีสอร์ทแห่งนี้ ถือเป็นโรงแรมและรีสอร์ทภายใต้แบรนด์บันยันทรีแห่งที่4ในประเทศไทยเพราะมีปรัชญาการทำธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนและทำให้ปัจจุบันเครือAWCมีโรงแรมภายใต้แบรนด์บันยันทรี2แห่งรวมกับอีกแห่งคือบันยันทรีสมุยซึ่งเปิดให้บริการเมื่อปี2553”

นางวัลลภา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระบี่เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางการท่องเที่ยวที่โดดเด่นมายาวนานและมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคตด้วยการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆเพื่อรองรับการคมนาคมและการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นการขยายสนามบินนานาชาติกระบี่เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้8ล้านคนต่อปีเพิ่มจาก4ล้านคนต่อปีในปัจจุบันซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี2565

นอกจากนี้ ยังมีโครงการโครงข่ายเชื่อมโยงเส้นทางเดินเรือภูเก็ต-พังงา-กระบี่หรือวงแหวนแห่งอันดามันของกรมเจ้าท่าโดยการเปิดเส้นทางเดินเรือเฟอร์รี่5เส้นทางเพื่อเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างภูเก็ตพังงากระบี่เกาะลันตาและเกาะอื่นๆในพื้นที่ข้างเคียงและโครงการรถไฟรางคู่สายใหม่เส้นทางภูเก็ตพังงาและสุราษฎร์ธานีเป็นต้น

การเปิดตัวโรงแรมบันยันทรีกระบี่ส่งผลให้บริษัทฯมีโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก17แห่งเป็น18แห่งด้วยจำนวนห้องพักทั้งหมดจาก4,869ห้องเป็น4,941ห้องซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในกระแสเงินสดจากกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ(Hospitality)