สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ตเขย่าเกมรุกเจาะคนกรุง12ล้าน

สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ตเขย่าเกมรุกเจาะคนกรุง12ล้าน

“สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ"  เบนเข็มเจาะกลุ่มลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย เป็นกลยุทธ์หลัก 2 ปี จากนี้ ทดแทนตลาดนักท่องเที่ยววูบหายจากวิกฤติโควิด

วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดกระทบรุนแรงทั่วโลก ทำให้น่านฟ้าปิด! ชาวต่างชาติเข้าประเทศไทยยากขึ้น แน่นอนว่า สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ"  ธุรกิจค้าปลีกโมเดลใหม่ เอาท์เล็ต” ที่มีลูกค้าเป้าหมายหลัก นักท่องเที่ยวต่างชาติ! 60% ต้องเบนเข็มเจาะลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย(Expat)  ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์ต่อเนื่องไปอย่างน้อย 2 ปี ก่อนที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการเดินทางทั่วโลกจะฟื้นตัวกลับมา พร้อมเดินหน้าปรับเกมรุกทุกมิติ เพื่อช่วงชิงลูกค้า สร้างยอดขาย และรับมือกับ “ปัจจัยเสี่ยง” รอบด้านที่ยังคงอยู่   

ไมเคิล ถัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด ผู้ดูแลโครงการสยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ  กล่าวว่า การขับเคลื่อนธุรกิจช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองก้าวเข้าสู่ปี 2564 สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ มุ่งสร้างสีสันปลุกบรรยากาศความคึกคักต้อนรับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ Special Tourist VISA (STV) ซึ่งเริ่มเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ต่อเนื่องปี 2564 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวมากขึ้น ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจการค้า

โดยไตรมาสสุดท้ายต่อเนื่องไตรมาสแรกปีหน้า  สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ เร่งเปิดร้านค้าแบรนด์ต่างๆ อีก 32 ร้านทั้งลักชัวรีแบรนด์ 3-4 แบรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล-โลคัล และไลฟ์สไตล์แบรนด์ รวมให้บริการมากถึง 300 แบรนด์  ซึ่งในเดือนพ.ย. มีไฮไลท์แบรนด์ Karl Lagerfeld และ Fred Perry เปิดในรูปแบบเอาท์เล็ตแห่งแรกของเมืองไทย เสริมทัพแบรนด์ที่เปิดในรูปแบบเอาท์เล็ตแห่งแรก ไม่ว่าจะเป็น Balenciaga, Burberry, Salvatore Ferragamo หรือ Breitling ซึ่งราคาถูกกว่าช็อปในเมือง! เป็นจุดขายดึงลูกค้าสามารถซื้อสินค้าพรีเมียมในราคาเอาท์เล็ต บางชิ้นเป็นรุ่นเดียวกับที่วางขายในช็อป บางชิ้นเป็นสินค้า Made for Outlet โดยเฉพาะ

ไทยยังเป็นตลาดศักยภาพสำหรับธุรกิจเอาท์เล็ต ซึ่งภายใต้วิกฤติการณ์ที่ทุกคนเผชิญเหมือนกันหมด รีเทล วันนี้ คือ สปีด ในทุกด้าน ต้องปรับตัวให้เร็ว ขจัดอุปสรรคต่างๆ ให้ได้มากที่สุด" 

หนึ่งในหัวใจสำคัญของเอาท์เล็ต คือ ความหลากหลายของสินค้า และ ราคาที่ตรงใจ ซึ่งเป็นจุดแข็งของ "สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ"  จาก 4 เดือนของการเปิดประตูให้บริการด้วยความพร้อมของร้าน 65% วันนี้เติมเต็มร้านค้ามาระดับ 80% และ 86% ในสิ้นปี  ดึงดูดลูกค้าเข้าใช้บริการ 8,000-9,000 คนในวันหยุด และ 4,000 คนวันธรรมดา

แม้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้แบบเบาๆ (Conservative) ตามสถานการณ์ที่ 10,000 คนต่อวัน แต่การใช้จ่ายสูงเกินคาด!  ถึง 4,000-5,000 บาทต่อคนต่อครั้ง จากเดิมคาดการณ์ควักกระเป๋าจ่ายที่ 1,000 บาทต่อคนเท่านั้น

ที่น่าสนใจ กลุ่มตลาดหิ้ว และโฮลเซล (ขายส่ง) ซึ่งมีสัดส่วนราว 10% เป็นส่วนสำคัญในการสร้างยอดขายกระจายรายได้ให้กับแบรนด์สินค้าต่างๆ บางรายจ่ายสูง 3-4 แสนบาทต่อคนต่อครั้ง! หรือหากตีมูลค่ากลุ่มนี้สร้างยอดขายถึง 60% ทีเดียว

นั่นเป็นเหตุผลของการเร่งเติมแบรนด์รองรับแฟนคลับ! ซึ่งกลุ่มนี้มาโดยไม่รอโปรโมชั่น และเสริมด้วยแคมเปญโปรโมชั่นรองรับนักช้อปวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ โดยปลายปีนี้่เชื่อว่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการช้อปดีมีคืนของภาครัฐกระตุ้นการตัดสินใจซื้อด้วยเช่นกัน

โฟกัสของเราต้องยึดลูกค้าชาวกรุงเทพฯ 12 ล้านคนไว้ให้ได้ ใน 2 ปีนี้ต้องตีตลาดกรุงเทพฯ ให้แตก พร้อมขยายโอกาสจับกำลังซื้อใหม่ๆ ไปยังพื้นที่ข้างเคียงฉะเชิงทรา ศรีราชา หรือ อีอีซี คืออีกเป้าหมายใหญ่”

ดังนั้น อีกภารกิจสำคัญคือการเร่งสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ในวงกว้าง! ผ่านการสื่อสารเชิงรุกเจาะทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ สร้างสีสันดึงดูดลูกค้ามาเยือนด้วย "IlluminationArtในธีมIllumination Spectrum" พร้อมแคมเปญ “IlluminationYear End Sale” เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพ.ย. จนถึงกลางเดือนม.ค.ปีหน้า 

เชื่อว่าการตลาดเชิงรุกนี้จะช่วยกระตุ้นจำนวนลูกค้าในช่วงปลายปี 2563 เพิ่มขึ้น 20% ยอดจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น 10-15%  เฉลี่ยการใช้จ่ายต่อคนมากกว่า 2,000บาท

ไมเคิล ถัง กล่าวย้ำว่า ภายใต้วิกฤติ! ปริมาณลูกค้าจำนวนมากไม่ใช่คำตอบ แต่การบริหารจัดการต้นทุน ค่าใช้จ่าย ที่มีประสิทธิภาพจะส่งเสริมการทำรายได้และผลกำไรที่ดี ธุรกิจอยู่ได้ ไม่ขาดทุน และเดินหน้าต่อไปได้  

โดยระหว่างรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิดคลี่คลาย “สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ” ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย และ ไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่แห่งสหรัฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจพรีเมียมเอาท์เล็ต มีสาขากว่า 200 แห่งทั่วโลก ยังจะเริ่มหารือโปรเจคใหม่ หลังจากเบรกไปในช่วงเริ่มวิกฤติโควิด

โปรเจค2จะเริ่มคุยกันใหม่ เพราะไทยยังมีโอกาสอีกมาก แม้ระหว่างนี้นักท่องเที่ยวไม่มา แต่กว่าจะเจรจา หาที่ดิน ก่อสร้าง จนถึงเปิดบริการใช้เวลา 2-3 ปี หากรอตลาดฟื้นแล้วค่อยคิดอาจไม่ทันการณ์” 

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษา “แพลตฟอร์มออนไลน์” ที่จะนำมาใช้ขยายฐานสร้างการเข้าลูกค้ามากยิ่งขึ้น!