'เพิ่มบทบาทในการค้าโลก'ภารกิจสำคัญสุดของจีน

'เพิ่มบทบาทในการค้าโลก'ภารกิจสำคัญสุดของจีน

'เพิ่มบทบาทในการค้าโลก'ภารกิจสำคัญสุดของจีน โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนประกาศจะทำงานเพื่อให้มีการลงนามความตกลงอาร์เซ็ปและเร่งเจรจาเพื่อทำข้อตกลงด้านการลงทุนจีน-อียูและทำข้อตกลงการค้าเสรีจีน-ญี่ปุุ่น -เกาหลีใต้

ช่วงที่สหรัฐกำลังวุ่นวายกับการเลือกตั้งและรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนก็กล่าวสุนทรพจน์ที่มีนัยสำคัญผ่านวิดีโอในโอกาสเปิดงาน“ไชนา อินเตอร์เนชันแนล อิมพอร์ต เอ็กซ์โป”เมื่อวันพุธ (4พ.ย.)ว่า จีนจะเร่งหารือเพื่อทำข้อตกลงด้านการลงทุนระหว่างจีนและสหภาพยุโรป(อียู)และหารือเพื่อทำข้อตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ)กับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงสหรัฐ คู่พิพาททางการค้าแต่อย่างใดแต่เน้นกล่าวถึงความตั้งใจของจีนที่จะเปิดประเทศมากกว่านี้แก่นักธุรกิจต่างชาติ

“เราจะทำงานเพื่อให้มีการลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(อาร์เซ็ป)และเร่งเจรจาเพื่อทำข้อตกลงด้านการลงทุนจีน-อียูและทำข้อตกลงการค้าเสรีจีน-ญี่ปุุ่น -เกาหลีใต้”ประธานาธิบดีสี กล่าว

อาร์เซ็ป ถือเป็นกลุ่มการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จึงมีข้อตกลงในรายละเอียดปลีกย่อยมากมายหลายด้าน การเจรจาแต่ละครั้งมีทั้งเรื่องที่ตกลงกันได้และตกลงกันไม่ได้ โดยกรอบการเจรจามีทั้งหมด 20 เรื่อง อาทิ การเปิดตลาดการค้าสินค้า, การค้าบริการ, การลงทุน, ทรัพย์สินทางปัญญา, การจัดซื้อโดยรัฐ, กฎถิ่นกำเนิดสินค้า, นโยบายการแข่งขัน

ที่ผ่านมา ทั้งอียูและจีนต่างทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันให้เกิดการทำข้อตกลงด้านการลงทุนระหว่างกันแต่การเจรจาดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและความหวังที่จะเห็นการบรรลุข้อตกลงร่วมกันภายในปลายปีนี้ริบหรี่ลง ส่วนการเจรจาระหว่างรัฐบาลปักกิ่งและชาติพันธมิตรของสหรัฐอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็ไม่มีความคืบหน้าเช่นกัน

ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ ผู้นำจีนเน้นพูดถึงการเปิดตลาดมากขึ้นแก่ธุรกิจจากต่างชาติ พร้อมทั้งปรับปรุงบรรยากาศการทำธุรกิจในจีน ซึ่งข้อริเริ่มต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่มีการประกาศไปก่อนหน้านี้แล้วนั้นมีตั้งแต่การปรับปรุงการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ตลอดจนการลดข้อจำกัดต่างๆด้านการนำเข้าเทคโนโลยี

“เป้าหมายของเราคือเปลี่ยนตลาดจีนให้เป็นตลาดโลกและทำให้ตลาดจีนเป็นตลาดที่ทุกประเทศเข้าถึงได้”ประธานาธิบดีสี กล่าว

นอกจากนี้ ผู้นำจีน ยังกล่าวว่า จีนจะมีบทบาทอย่างแข็งขันในการปฏิรูปองค์การการค้าโลก(ดับเบิลยูทีโอ)และร่วมมือกับสหประชาชาติ(ยูเอ็น) จี-20 รวมทั้งองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีสี ยังเรียกร้องให้ประเทศต่างๆทั่วโลก รวมทั้งบริษัทต่างๆทำงานร่วมกันเพื่อรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19

การกล่าวสุนทรพจน์ของสี มีขึ้นหลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)ประเมินเศรษฐกิจของจีนว่าจะขยายตัว ท่ามกลางภาวะการชลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆทั่วโลกในปีนี้เพราะผลพวงของการแพร่ระบาดของโควิด-19

ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าจีนจะเป็นเศรษฐกิจใหญ่ของโลกเพียงแห่งเดียวที่จีดีพีเป็นบวกในปีนี้ โดยประเมินว่าจะขยายตัวที่ 1.9% ก่อนที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 26.8% ในปี 2564

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวเป็นบวกนั้น เป็นผลมาจากเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ผ่านพ้นวิกฤตโระระบาด โดยภาคค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนก.ย.และปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% ในไตรมาส 3 ด้านภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 6.9% ส่งผลให้การผลิตภาคอุตฯ 9 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัว 1.2% ส่วนภาคบริการ เพิ่มขึ้น 4.3% อัตราว่างงานลดลงเหลือ 5.4%

สอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ที่ระบุว่าการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จีนในไตรมาสที่ 3 ขยายตัว 4.9% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ว่าจะขยายตัวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 5.2% แต่ก็เป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัว 3.2%

ขณะที่ช่วง 9 เดือนแรก เศรษฐกิจจีนขยายตัว 0.7% เทียบกับปีที่แล้ว จากที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใช้มาตรการต่างๆทั้งการลดหย่อนภาษี ลดดอกเบี้ย และสนับสนุนการจ้างงาน เพื่อให้ช่วยฟื้นเศรษฐกิจจากช่วงโรคโควิด-19 ระบาด ประกอบกับอุตสาหกรรมผลิตกลับมาดำเนินการอย่างปกติ ขณะที่การบริโภคเริ่มฟื้นตัว

“ฟรานเซส เฉิง” หัวหน้ากลยุทธ์เศรษฐกิจธนาคารเวสท์แพ็คสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่า การฟื้นฟูเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ขยายตัวน้อยกว่าคาดการณ์ แต่ยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม และจากที่พบว่าเศรษฐกิจจีนขยายตัวเกินคาดการณ์ในช่วงเดือนกันยายน ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับไตรมาส 4

งานเอ็กซ์โปนี้จัดขึ้นในช่วงที่จีนพยายามเร่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างรายได้ตามนโยบายพึ่งพาตัวเองหลังจากถูกสหรัฐแบนส่งออกเทคโนโลยี โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลปักกิ่งได้เปิดเผยแผนพัฒนาเศรษฐกิจปี2564-2568 เพื่อส่งเสริมตลาดในประเทศเป็นการตอบสนองต่อปริมาณการค้าโลกที่หดหายไปเพราะนโยบายกีดกันการค้า

ในงานเอ็กซ์โปที่จะมีไปจนถึงวันที่10 พ.ย.มีบรรดาเทรดเดอร์จาก 124 ประเทศเข้าร่วม ส่วนใหญ่เป็นเทรดเดอร์ที่เป็นตัวแทนอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร เทคโนโลยีสารสนเทศ การดูแลสุขภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค เมื่อปีที่แล้ว งานเอ็กซ์โปนี้ดึงดูดคนเข้ามาเที่ยวชมงานประมาณ 5แสนคน และมีการลงนามข้อตกลงการค้าคิดเป็นมูลค่า 71.13 พันล้านดอลลาร์

“เราจำเป็นต้องร่วมมือกันแทนที่จะเขวี้ยงหมัดใส่กัน ตัวอย่างเช่น ประเทศใหญ่ๆจำเป็นต้องเป็นผู้นำในการปฏิบัติอย่างมีหลักการและประเทศกำลังพัฒนาควรมีบทบาทอย่างแข็งขันในการสนับสนุนให้มีการเปิดประเทศและแชร์ความรับผิดชอบร่วมกัน”ประธานาธิบดีจีน กล่าว

สี ยังกล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตอยู่ในกลุ่มการค้าด้านการบริการข้ามพรมแดนที่จีนจะเปิดกว้างมากกว่านี้เพื่อรับการลงทุนจากบริษัทต่างชาติ