จับตา BH ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ รุกตลาดในประเทศทดแทนต่างชาติ
การเปลี่ยนขั้วพันธมิตรในธุรกิจโรงพยาบาลส่งสัญญาณว่า “ใหญ่กับใหญ่” อาจจะไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ได้ผลอีกต่อไปหลังเผชิญโควิด-19 และรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ หรือ นิวนอร์มอลทำให้หลายธุรกิจหันมาพึ่งพิงตลาดภายในประเทศมากขึ้นและธุรกิจการแพทย์เช่นกัน
ดังนั้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ประกาศขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดใน โรงพยาบาล บำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH 180 ล้านหุ้น หรือ 22.71% ในราคาหุ้นละ 103 บาทจึงเสมือนเป็นคำตอบว่าความร่วมมือทางธุรกิจ (Synergy) ไม่เกิดประสิทธิภาพเพียงพอกับวิกฤติในครั้งนี้
บวกกับความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันระหว่างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในกรณีเสนอซื้อหุ้น หรือเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ BH ได้รับการปฎิเสธส่งผลทำให้ความร่วมกันทางธุรกิจย่อมมีความกินแหน่งแครงใจ แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา BH ขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้นที่จ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ จากปี 2562 มีการจ่ายปันรวม 3.2 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 2,546 ล้านบาท มีอัตราปันผลอยู่ที่ 2.2 %
ปัจจัยเสี่ยงในธุรกิจหลังโควิด-19 ทำให้กลยุทธ์แบบเดิม BH เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น จากเดิม BH ถือว่าเป็นหุ้นที่มีการเติบโตจากภาคการบริการการแพทย์และภาคท่องเที่ยว จนมีจุดเด่นเป็นฮับในไทยที่ลูกค้าต่างชาติเข้ามารักษาและใช้บริการ
โดยมีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าต่างชาติสูงถึงกว่า 60 % ที่เหลือเป็นคนไทย ท่ามกลางทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญระดับต้นๆของประเทศทำให้ BH สามารถสร้างรายได้แต่ละปีกว่า 18,000 ล้านบาทได้อย่างสม่ำเสมอ มีผลกำไรแต่ละปีเกือบ 4000 ล้านบาท และทำอัตรากำไรได้ถึง 20 %
ตัวเลขดังกล่าวถือว่าแข็งแกร่งมากสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลที่มีเพียงแต่ศูนย์เดียวคือในกรุงเทพฯ และไม่มีการขยายศูนย์อื่นเพิ่มเติมเลยในช่วงที่ผ่านมา แตกต่างจากโรงพยาบาลอื่นที่จะมีการขยายและเพิ่มศูนย์เฉพาะทางให้เกิดการขยายฐานคนไข้
ดังนั้นช่วงโควิด-19 ระบาดรุนแรงในไทยและต่างประเทศช่วงต้นปีที่ผ่านมา จึงมีผลกระทบหนักในไตรมาส 2 และยังกระทบเนื่องจากในไตรมาส 3 และ 4 โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่พึ่งพิงต่างชาติ เนื่องจากการแพร่ระบาดรอบ 2 ที่รุนแรงในต่างประเทศเข้ามากดดัน
ดังนั้นจึงเห็นผลการดำเนินงาน BH หดตัวรุนแรงในไตรมาส 2 มีรายได้ 2,487 ล้านบาท ลดลง 40 % จากไตรมาสก่อน มีกำไรเหลือ 44.43 ล้านบาท ลดลง 94.19 % จากไตรมาสก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นลงมาอยู่ที่ 1.79 % ส่วนไตรมาส 3 รายได้กลับมาดีขึ้นอยู่ที่ 2,948.29 ล้านบาท
ตัวเลขดังกล่าวมาจาก BH มีการลดค่าใช้จ่ายอย่างหนักประกอบไปด้วยค่าธรรมเนียมการแพทย์ และค่าใช้จ่ายพนักงาน จากการปรับอัตราเข้าตรวจของแพทย์ลดลง และการให้บริการพยาบาลลดลงตามจำนวนคนไข้ และยังลดพนักงานส่วนหนึ่งเพื่อลดต้นทุน
อย่างไรก็ตามด้วยรายได้การรักษาพยาบาลปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนทำให้กำไรในงวดดังกล่าวอยู่ที่ 221.53 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นจากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 7.51 % แต่โดยรวมถือว่าฐานลูกค้าต่างชาติที่หายไปถึง 44 % ซึ่งแนวโน้มคนไข้ต่างชาติและภาพการท่องเที่ยวของไทยยังไม่ฟื้นตัวได้เร็วหนัก แม้จะมีพัฒนาการของวัคซีนหลายบริษัทออกมาระบุว่ามีประสิทธิแต่กว่าจะสามารถใช้กับประชาชนในวงกว้างอาจจะต้องใช้ระยะเวลาไปถึงสิ้นปี 2564
ดังนั้น BH จึงถูกบีบให้ต้องหาแนวร่วมพันธมิตรรายใหม่ที่ตอบโจทย์ฐานคนไข้ในประเทศให้เพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากคนไข้ต่างประเทศที่ยังไม่มีวี่แววจะกลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน ซึ่งการเข้ามาของ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC สามารถปิดจุดอ่อนในส่วนนี้ได้
ทาง รพ.พริ้นซ์ มีโรงพยาบาลตามเมืองรองในมือมากถึง 11 แห่งมีจำนวนเตียงเกิน 1,000 เตียงและยังต้องการขยายโรงพยาบาลเพิ่มอีกปีละ 3 แห่ง จึงต้องมองหาจุดแข็งที่เพิ่มขึ้นมามาช่วยหนุนแบรนด์ จึงทำให้ BH สามารถขยายฐานคนไข้ทางอ้อมไปโดยปริยาย
จากนี้ไปถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ในธุรกิจการแพทย์ที่กลยุทธ์ “ใหญ่ + เล็ก” อาจจะกลายเป็นสูตรธุรกิจใหม่ที่สร้างความแข็งแกร่งในอนาคตได้