ผู้ผลิตถุงมือยางตั้งเป้า 5 ปี ฮับโลก ชิงส่วนแบ่งตลาด20%

ผู้ผลิตถุงมือยางตั้งเป้า 5 ปี ฮับโลก ชิงส่วนแบ่งตลาด20%

สมาคมผู้ผลิตถุงมือยาง เป้าดึงส่วนแบ่งตลาดโลก 20% ใน 5 ปี ขึ้นแท่นศูนย์กลางการผลิต “ศรีตรัง” เร่งผลิตถุงมือโปรตีนต่ำแข่งถุงมือไนไตรล์ ทุ่ม 9,900 ล้านบาท ตั้ง 4 โรงงาน

นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล นายกสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้ถุงมือยางในตลาดโลกปี 2563 เพิ่มขึ้น 20% อยู่ที่ 3.6 แสนล้านชิ้น และคาดว่าปี 2564 ความต้องการจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบไทยผู้ผลิตถุงมือยางของไทยในการขยายตลาด เพื่อดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ

 

ทั้งนี้ปัจจุบันไทยมีโรงงานผลิตถุงมือยาง 19 โรงงาน มีกำลังการผลิตรวมต่อปี 4.6 หมื่นล้านชิ้น เป็นถุงมือทางการแพทย์สัดส่วน 88% และสินค้าที่ผลิตได้ส่วนใหญ่ 90% ส่งออกต่างประเทศเป็นอันดับ 2 ของโลก

  160751318894

รวมทั้งสมาคมเตรียมผลักดันผู้ผลิตถุงมือยางของไทยให้ขยายการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทุกด้าน โดยมีเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 20% จากปัจจุบัน 15% ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายสูงสุดที่ 40% ในอนาคต ซึ่งต้องการให้รัฐสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ รองรับการลงทุนขยายกำลังการผลิตเพื่อให้ไทยดึงเม็ดเงินเข้าประเทศเพิ่มขึ้น

 

“หลังจากผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกอย่างมาเลเซียและจีนขยายกำลังการผลิตต่อเนื่องช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะจีนเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโลกให้ใกล้เคียงกับไทย จากปัจจุบันที่ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกถุงมือยางมีส่วนแบ่งตลาด (จากปริมาณการขาย) อันดับ 2 ของโลก ”

 

นอกจากนี้ แม้ไทยพร้อมด้านแหล่งวัตถุดิบและเทคโนโลยี แต่ต้องการให้ภาครัฐแก้ไขปัญหา เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผังเมือง การขออนุญาตตั้งโรงงาน

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT กล่าวว่า ปี 2564 คาดว่าการผลิตวัคซีนโควิด-19 จะสำเร็จ แต่มั่นใจว่าความต้องการใช้ถุงมือยางเพิ่มสูงขึ้น และระยะยาวความต้องการใช้ถุงมือยังแข็งแกร่งและสดใสจากการเติบโตของความต้องการใช้ถุงมือในอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่เฉพาะทางการแพทย์ แต่ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อสุขอนามัยที่ดี ซึ่งศรีตรังได้รับคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระยะเวลาการส่งมอบสินค้ายังคงอยู่ที่ 16–30 เดือน

 

นอกจากนี้ STGT ยังขยายตลาดและเพิ่มยอดขายสินค้า โดยได้เร่งวิจัยและพัฒนาถุงมือยางธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้โปรตีน ผลิตจากสูตรน้ำยางธรรมชาติและกระบวนการผลิตที่ผ่านการคิดค้นและทดลองจนสามารถป้องกันไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนังได้ เป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ที่สามารถสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าเพื่อเจาะตลาดเซ็กเมนต์ใหม่ คาดว่าจะผลิตเพื่อจำหน่ายได้กลางปี 2564

  160751325659

“ถุงมือยางโปรตีนต่ำนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมถุงมือยาง ให้เกิดความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติเพิ่มขึ้นทดแทนการใช้ถุงมือยางไนไตรล์ หรือ ถุงมือยางสังเคราะห์ จากปัจจุบันที่ภาพรวมทั่วโลกมีความต้องการการใช้ถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์ ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน เนื่องจากสามารถตอบโจทย์การใช้งาน สำหรับผู้ที่แพ้สารโปรตีนในน้ำยางธรรมชาติและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ราคาถูกกว่า”

 

นางสาวธนวรรณ เสงี่ยมศักดิ์ ผู้อำนวยการสายงานบัญชีและการเงิน STGT กล่าวว่า จากภาพรวมคำสั่งซื้อสินค้าที่แข็งแกร่งและราคาขายที่ปรับขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามแผนที่วางไว้ และมีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า หลังจากผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้รวม 16,759.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ส่วนในปี 2564 คาดว่าภาพรวมความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกยังมีอัตราเติบโตอย่างน้อย 12% ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ประกอบกับ STGT อยู่ระหว่างการลงทุนขยายกำลังการผลิต โดยในปีหน้าจะมีโรงงานก่อสร้างแล้วเสร็จอีก 4 แห่ง จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 35,900 ล้านชิ้นต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่กว่า 32,600 ล้านชิ้นต่อปี

 

“ในปีหน้าจะเริ่มเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่เพิ่ม 4 แห่ง ใช้งบลงทุน 9,900 ล้านบาท โดยปี 2567 เพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 82,550 ล้านชิ้น และปี 2569 เพิ่มเป็น 100,000 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจะทำให้มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่องช่วง 5-6 ปีข้างหน้า”