เมื่อหมอถูกฉีดวัคซีนโควิด-19
เมื่อหมอถูกฉีดวัคซีนโควิด-19 ท่ามกลางความหวังของทุกคนทั่วโลกว่าวัคซีนที่ผลิตออกมาจากหลายบริษัทจะช่วยป้องกันโรคโควิด-19 ได้
เมื่อวันจันทร์ (14 ธ.ค.) ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งตรงกับวันอังคาร (15 ธ.ค.) ของไทย สหรัฐเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากบริษัทไฟเซอร์ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ภาพที่เผยแพร่กันตามหน้าสื่อและว่อนโซเชียลมีเดียหนีไม่พ้นภาพเจ้าหน้าที่กำลังรับวัคซีน ผู้เขียนเปิดเฟซบุ๊คเจอสเตตัสเพื่อนเก่าที่เป็นหมอในสหรัฐกว่า 20 ปี โพสต์ภาพและเล่าบรรยากาศการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เห็นว่ามีประโยชน์จึงขออนุญาตเพื่อนนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้
นายแพทย์สุพัฒน์ ธรรมสิทธิ์บูรณ์ หรือ หมอบี เป็นแพทย์สาขาโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต ที่ Southeast Louisiana Veterans Health Care System เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา โพสต์ว่า
"ระบบเค้าเตรียมตัวเตรียมการมาอย่างดี วัคซีนเพิ่งมาถึง 10:30 ตอนเช้า บ่าย3 ก็ distributed เลยในยิม มีข้อมูล laptops, brochures เพียบพร้อม ได้รับ email ให้มารายงานตัว แล้วได้ฉีดเลย
แพทย์ส่วนใหญ่ลงชื่อต่อคิวเกือบ >90% ไม่ค่อยกังวลกัน คิดว่ายังไงๆก็ควรฉีด
แต่ healthcare workers สาขาอื่นๆอย่างพยาบาล เจ้าหน้าที่พนักงาน respiratory therapists มีความไม่แน่ใจมากขึ้นไปตามลำดับ เค้าบอกว่าไม่อยากเป็นกลุ่มแรกๆ ทั้งๆที่อธิบายเค้าแล้วว่า short term side effects น่าจะมีข้อมูลเพียงพอแล้ว ถ้าจะรอ long term side effects อาจจะต้องรอนานแค่ไหน
ที่เค้าอาจจะไม่รู้คือวัคซีน Pfizer นี้ได้มาไม่เยอะ หมดแล้วหมดเลย ต้องรอผลิต และ distribute ทั่วโลก รอรอบถัดไปคงอีกนานเลยกว่าจะกลับมาอีก
อีกระลอกของ phase 1A อันนี้ (healthcare workers, long term care, nursing home) คงจะเป็น Moderna vaccines ยังไม่รู้ว่าจะพอไหม
ถ้ายังรออีกจนเข้า phase 1B (65 and older with comorbidities , essential workers, and etc ) คงจะเป็น ของ AstraZeneca-Oxford คราวนี้คนเข้าข่ายเป็นหลายๆล้านเลย คงจะมีปัญหาได้ถ้าระบบการ distribution สับสนวุ่นวาย
แต่การยอมรับวัคซีน มีเรื่องของ races มาเกี่ยวเยอะ คนผิวสีจะกลัวเป็นหนูทดลองเพราะเคยโดนมาในประวัติศาสตร์อเมริกา (Tuskegee Study) และเกี่ยวกับเรื่องการเมืองบ้างนิดหน่อย คงต้องรอให้โอบามามารับวัคซีนออกทีวี streaming live เพื่อชักจูงใจคนผิวสีนะ ผมว่า"
ผู้เขียนหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องTuskegee Study เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.2475-2515 รวม 40 ปีที่ U.S. Public Health Service ให้ทุนสนับสนุนการศึกษาวิจัยการดำเนินโรคซิฟิลิสตามธรรมชาติในคนโดยไม่ได้รับการรักษา พวกเขาเป็นชาวอเมริกันผิวดำ 300 คน ที่ยากจนไร้การศึกษา จึงเป็นที่มาของความไม่ไว้วางใจรัฐ
ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีนของหมอบี ผู้เขียนถามว่า ต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ "จริงๆไม่ได้เตรียมตัวอะไรนะ รพ. เตรียมการมานานแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาเค้าให้สมัครลงชื่อกันว่าใครสนใจจะฉีด แล้วเค้าก็จัด priority ไปตาม tier ตามที่ CDC แนะนำเป็น guideline ไว้ พอดีเราทำงาน ใน ICU ก็เป็น priority ต้นๆที่จะได้รับวัคซีน" หมอบีเขาว่าอย่างนั้น
ลองเข้าไปอ่านคอมเมนท์ในสเตตัสนี้ ทั้งจากเพื่อนชาวไทยและในสหรัฐส่วนใหญ่ชื่นชม ให้กำลังใจ ที่เห็นได้ชัดคือทุกคนมีความหวังกับวัคซีน เพื่อนคนหนึ่งถามว่า ตอนฉีด “เย็นมั้ย” เพราะต้องเก็บที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส หมอบีตอบว่า วัคซีนถูกนำออกมาวางข้างนอกครู่หนึ่งก่อนฉีด
ระหว่างที่แช็ตคุยกันหมอฉีดวัคซีนมา 8 ชั่วโมงแล้ว อาการยังสบายๆ แต่ 7 ชั่วโมงถัดมาได้ความว่า ตื่นมาตอนเช้าเมื่อยแขนมาก ยกแขนไม่ไหว ปวดมากกว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แต่ก็ทนได้ มีคนถามถึงความกังวลเรื่องผลข้างเคียง หมออธิบายว่า ก็อาจมีได้ แต่เปอร์เซ็นต์น้อย และส่วนใหญ่ก็ไม่แตกต่างจากวัคซีนอื่นๆ แต่จากข้อมูลบอกว่าเข็มที่สอง booster อาจจะมีผลข้างเคียงได้บ่อยและมากกว่าเข็มแรก
จากสถานการณ์โควิด-19 ของสหรัฐ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกถึงมีจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตสูงที่สุดของโลกด้วย หมอบีบอกว่า เป็นเรื่องอธิบายยาก เกี่ยวข้องกับความคิดความเชื่อตามประวัติศาสตร์เรื่องการมีเสรีภาพ ตั้งแต่สมัยข้ามฝั่งมาจากอังกฤษก็เพราะต้องการเสรีภาพ เพราะฉะนั้นกลุ่ม conservative จึงเกรงกลัวและต่อต้านการถูกบังคับโดยรัฐบาล หรือกฎเกณฑ์ที่พวกตนไม่เห็นด้วยแล้วยังมีทางเลือก ชนิดที่ว่า “ยอมตายดีกว่าถูกบังคับ”
ศาสนาและลัทธิการเมืองก็มีส่วนมาก ยิ่งระยะหลังคนที่มีความคิดต่อต้านวิทยาศาสตร์ ต่อต้านชนชั้นนำ ต่อต้านทางการ มีมากพอสมควร พวกเขาเชื่อว่า คนที่ฉลาดกว่า มีการศึกษามากกว่า ทำอะไรต้องมีวาระซ่อนเร้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเรื่องอื่นๆ
หมอบีบอกด้วยว่าโซเชียลมีเดียและเฟคนิวส์ยิ่งเป็นตัวเร่งให้แย่ไปกันใหญ่ คนที่ไม่รู้เรื่องต้องมาเรียนรู้จากสื่อเหล่านี้ที่ยืนยันความรู้ผิดๆ เหมือนตกอยู่ในวังวน คบและคุยกับคนที่คิดเหมือนกันก็ยิ่งหลงทาง
"คงเข้าใจยากมาก สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในอเมริกา ว่าทำไมเรื่องการใส่มาสก์จิ๊บจ๊อยแบบนี้ ไม่ได้เจ็บปวด หรือต้องเสียสละอะไรมากมาย ต้องเถียงกันไม่เลิกเลย คนจำนวนมากยังไงๆก็ยังไม่ใส่มาสก์กัน" หมอบีกล่าวทิ้งท้าย
ข้อมูลจากหมอบีนับเป็นอีกประสบการณ์หนึี่งจากแพทย์ไทยในสหรัฐที่เห็นควรนำมาเล่าสู่กันฟัง ส่วนสถานการณ์โควิด-19 ตอนนี้โลกคงมุ่งหน้าไปที่การฉีดวัคซีน มีข่าวว่าวัคซีนที่จะผลิตได้ในปีหน้าจาก 13 บริษัทชั้นนำถูกประเทศร่ำรวยพรีออเดอร์ไปกว่าครึี่งแล้ว ประชากรโลกอย่างน้อย 1 ใน 5 ต้องรอไปจนถึงปี 2565 เป็นอย่างน้อยกว่าจะได้วัคซีนโควิด