ตลท.ชี้ นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนยาวตลาดหุ้นไทย
ตลท.เผย ต่างชาติสนใจลงทุนหุ้นไทยระยะยาว สิ้นส.ค. มีนักลงทุนต่างประเทศ 116 สัญชาติ ถือครองหุ้นไทย 3.76 ล้านล้านบาท ลดลง 22% จากพ.ค. 62
นักลงทุนต่างประเทศสนใจตลาดหุ้นไทย มีนักลงทุนสัญชาติใหม่ๆ เข้ามาในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มีนักลงทุนต่างประเทศ 116 สัญชาติ นักลงทุนต่างประเทศสนใจตลาดหุ้นไทย มีนักลงทุนสัญชาติใหม่ๆ เข้ามาในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มีนักลงทุนต่างประเทศ 116 สัญชาติ
ทั้งนี้นักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนใหม่ 7 สัญชาติ คือ นักลงทุนจากเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส นักลงทุนจากสาธารณรัฐลัตเวีย นักลงทุนจากสาธารณรัฐไนเจอร์ นักลงทุนจากนักลงทุนจากราชอาณาจักรเอสวาตีนี และนักลงทุนจากราชอาณาจักรตองกา เคยลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่หายไปในปี 2557 ได้กลับเข้ามาใหม่ในปี 2563 ขณะที่นักลงทุนจากสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน และนักลงทุนบุคคล จากสาธารณรัฐแซมเบีย เข้ามาในตลาดหุ้นไทยเป็นครั้งแรก โดยลงทุนในหุ้นที่มีอยู่แล้วในตลาด ไม่ได้เป็นหุ้นจดทะเบียนใหม่ ซึ่ง 97% ของมูลค่าการถือครองหุ้นเป็นการถือ NVDR และอีก 3%เป็น foreign shares
ส่วนนักลงทุนต่างประเทศที่ออกจากตลาดหุ้นไทย (ภาพที่ 3) เกือบทุกสัญชาติข้างต้น ลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่า 1 ปี ยกเว้น นักลงทุนจากสาธารณรัฐอาร์มีเนียที่เพิ่งเข้าลงทุนและถือครองหุ้นในตลาดเมื่อปี 2562 และออกจากตลาดในปี 2563 ทำให้มีนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยสุทธิ เพิ่มขึ้นสุทธิ 2 สัญชาติ
สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการถือครองหุ้นไทยรวม 3.76 ล้านล้านบาท ลดลง 22.2% จากเดือนพฤษภาคม 2562 ที่สำคัญจากราคาหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลง มูลค่าการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศลดลงในระดับใกล้เคียงกับ SET100 Index ที่ลดลงถึง 20.6%
ทั้งนี้เนื่องจากมูลค่าการถือครองหุ้นส่วนใหญ่ (82%) เป็นหลักทรัพย์ในกลุ่ม SET100 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 291,480 ล้านบาท ในช่วงเดือนมิถุนายน 2562 - สิงหาคม 2563 โดยขายทำกำไรระยะสั้นใน local share 364, 324 ล้านบาท และขายสุทธิ foreign share ที่ถือไว้เพื่อลงทุนระยะยาวเพียง 9,474 ล้านบาท ในทางกลับกันนักลงทุนต่างประเทศซื้อหุ้นสะสมผ่าน NVDR กว่า 82,228 ล้านบาท สะท้อนนักลงทุนต่างประเทศทำกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้นไทย
นักลงทุนต่างประเทศสนใจลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น มากกว่า 3 ใน 4 ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวม ของนักลงทุนต่างประเทศเป็นการถือครองหุ้น foreign share ที่มีสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมฯ
จากการศึกษาการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ พบว่า 78.68% ของมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศถือเป็น foreign shares ที่นักลงทุนต่างประเทศจะได้ทั้งสิทธิทางการเงิน (financial benefits) และสิทธิในการออกเสียงในประชุม ผู้ถือหุ้น (voting right) และที่เหลือเกือบทั้งหมดประมาณ 21.32% ถือครอง NVDR ที่นักลงทุนต่างประเทศจะได้รับสิทธิทางการเงินแต่ไม่มีสิทธิออกเสียงฯ และถือครอง local shares เพียงเล็กน้อยไม่ถึง 0.01% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมทั้งหมด (ภาพที่ 7) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า นักลงทุนต่างประเทศสนใจลงทุนระยะยาวในประเทศไทยเพราะให้ความสำคัญกับสิทธิทางการเงินและสิทธิในการออกเสียงใน ที่ประชุมฯ
ขณะที่เชื่อมั่นบริษัทจดทะเบียนไทยยังคงถือหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว เมื่อพิจารณาการซื้อขายรายหลักทรัพย์ พบว่า นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิใน 2,215 หลักทรัพย์ จาก 7,179 หลักทรัพย์ที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อขาย นอกจากการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย พบนักลงทุนต่างประเทศใช้สิทธิสะสมหุ้นเพิ่มเติมผ่านกิจกรรมระดมทุน ทั้งการจองซื้อหุ้นของบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ การใช้สิทธิจองหุ้นซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทจดทะเบียนเดิม และการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิเป็นหุ้นสามัญ เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป จากพฤติกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์และพฤติกรรมการถือครองหลักทรัพย์ สะท้อนว่า “ นักลงทุนต่างประเทศยังสนใจลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทย” โดยถือ foreign share มากกว่า 3 ใน 4 ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ และนำมาซื้อขายน้อยมาก ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจซื้อขาย local shares และ NVDR เนื่องจากสภาพคล่องสูงเพื่อทำกำไรระยะสั้น
นอกจากผลการศึกษาข้างต้นแล้ว ในเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่มีข่าวความคืบหน้าของการผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่บริษัทยาชั้นนำทั่วโลกทดลอง วิจัย และพัฒนาวัคซีน ได้รับผลดีกว่าที่คาด ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่น กระแสเงินจากต่างประเทศไหลเข้าตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ โดยในเดือนพฤศจิกายน 2563 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นเดือนแรกในรอบ 16 เดือน (นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2562) ด้วยมูลค่าซื้อสุทธิ 32,506 ล้านบาท ขณะที่ SET Index เพิ่มขึ้น Index ปิดที่ 1,408.31 จุด หรือเพิ่มขึ้น 213.36 จุด ในเดือนเดียว คาดว่าปัจจัยบวกจากราคาหลักทรัพย์จะปรับเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้มูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 7% ใกล้เคียงการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 7% ของ SET100 Index