กองทุนกวาดกำไร “เคอรี่” เทรดวันแรกเหนือจอง 83% โควิดดันขนส่งพุ่ง
กองทุนไทยและต่างประเทศกำไรทางบัญชีหุ้น“เคอรี่”กว่า 1,950 ล้านบาท หลังราคาปิดวันแรกทะยานเหนือจอง 83% เคอรี่ ปลื้มนักลงทุนสนใจธุรกิจคึกคัก คาดรายได้ธุรกิจ 3-5 ปี โตไม่ต่ำกว่า 20% ได้อีคอมเมิร์ซหนุน ชี้โควิด-19รอบใหม่ดันยอดส่งสินค้าพุ่ง
กองทุนไทยและต่างประเทศ บันทึกกำไรทางบัญชีจากการลงทุนทันทีกว่า 1,950 ล้านบาท หลังจากที่หุ้นบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ KEX เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทยครั้งแรกวานนี้(24 ธ.ค.) โดยปิดตลาดที่ 51.25 บาท เพิ่มขึ้น 23.25 บาท หรือ 83% จากราคาจองที่ 28 บาท
โดยเปิดตลาดที่ 65 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาจอง 132% ระหว่างวันราคาซื้อขายผันผวน สูงสุดที่ 73 บาท และต่ำสุดที่ 46 บาท
KEX เสนอขายหุ้นไอพีโอ 300 ล้านหุ้น แบ่งเป็นขายแก่นักลงทุนในประเทศ 191.70 ล้านหุ้น และนักลงทุนต่างประเทศ 108.30 ล้านหุ้น เสนอขายในราคาหุ้นละ 28 บาท กองทุนทั้งในและต่างประเทศได้รับจัดสรร รวม 83.90 ล้านหุ้น แบ่งเป็นในประเทศ บลจ.กสิกรไทย และ บลจ.บัวหลวง ได้รับจัดสรรรายละ 8 ล้านหุ้น บลจ.ไทยพาณิชย์ 4.5 ล้านหุ้น บลจ.กรุงไทย บลจ.เอ็มเอฟซี บริษัทเอไอเอ แห่งละ 4 ล้านหุ้น บลจ.ยูโอบี(ประเทศไทย) และ บลจ.ทิสโก้ รายละ 3 ล้านหุ้น บลจ.เกียรตินาคิน บลจ.วรรณ บลจ.ธนชาต และบลจ.พรินซิเพิล แห่งละ 1 ล้านหุ้น
ส่วนกองทุนต่างประเทศที่ได้รับจัดสรร 8 กองทุน ประกอบด้วย จีไอซี ไพรเวท กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ จำนวน 13.90 ล้านหุ้น กองทุนต่างๆภายใต้คำแนะนำของ แคปิตอล รีเสริช จำนวน 12 ล้านหุ้น
เจพีมอร์แกน แอสเสท (สิงคโปร์) 4 ล้านหุ้น นิว ซิลค์ โรด อินเวสท์เมนท์ 4 ล้านหุ้น ฟิล อินเวสท์เม้นท์ 3.5 ล้านหุ้น แม็กนา นิวฟรอนเทียร์ 2.01 ล้านหุ้น แมททิว อินเตอร์เนชั่นแนล ฟันด์ 1 ล้านหุ้น โอค อีเมอร์จิ้ง และฟรอนเทียร์ฯ 0.98 ล้านหุ้น
นายอิศรินทร์ ภัทรมัย ประธานเจ้าหน้าที่ บริหารสายงานการลงทุน KEX กล่าวว่า ราคาเปิดตลาดของ KEX ที่ระดับ 65 บาท ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ที่นักลงทุนให้การสนับสนุน และสนใจในธุรกิจบริการขนส่งอย่างล้นหลาม
ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทมีแผนนำไปขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการให้บริการ การขยายลงทุนด้านร้านค้ารับส่ง และการกระจายสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้น เพื่อรองรับอีคอมเมิร์ซที่จะเติบโตในอนาคต
เบื้องต้น บริษัทตั้งงบลงทุนปี 2564 ไว้ที่ราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนโควิด-19 รอบใหม่ โดยตั้งเป้ารายได้ 3-5 ปี จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ตามการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ
สำหรับกลยุทธ์ด้านราคา บริษัทเชื่อว่า ต้นทุนการขนส่งในอนาคตอาจเห็นการปรับลดลงตามการแข่งขันที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่บริษัทจะพยายามบริหารต้นทุนให้ลดลง เพื่อให้บริษัทยังรักษามาร์จินให้อยู่ระดับใกล้เคียงเดิมได้
ส่วนการระบาดโควิด-19 รอบใหม่ ยอมรับว่า มีผลกระทบเชิงบวกต่อบริษัท เพราะมีการล็อกดาวน์บางพื้นที่แล้ว โดยเฉพาะสมุทรสาคร ซึ่งจะหนุนให้การซื้อขายออนไลน์เติบโตขึ้น อาจมีลูกค้าบางกลุ่มเตรียมสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เพื่อตุนรองรับการล็อกดาวน์เพิ่มเติมในอนาคตหากโควิด-19 รอบใหม่มีการกระจายวงกว้าง และรุนแรงมากขึ้น
หากดูการขนส่งสินค้าในช่วงที่มีการล็อกดาวน์โควิด-19 รอบแรก เมื่อเม.ย.ที่ผ่านมา และมีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ ยอดการส่งสินค้าเพิ่มขึ้นถึง 50% หรืออยู่ที่ราว 1.9-2 ล้านชิ้นต่อวัน ดังนั้นโควิด-19 ครั้งนี้บริษัทก็ต้องเตรียมความสามารถในการรองรับการส่งสินค้าให้เพียงพอเช่นเดียวกัน
“วันนี้ความสามารถการรับส่งสินค้าของเราอยู่ที่ 1.9 ล้านชิ้นต่อวัน ครั้งนี้เราเชื่อว่าคนไทยเข้าใจโควิด-19 มากขึ้น และไม่ตกใจมาก แต่วอลุ่มคงเห็นสูงขึ้นไปต่อเนื่อง เพราะ ธ.ค.เป็นช่วงที่มีการจัดโปรโมชั่นการขายพิเศษ 12/12 ทำให้ยังมีออเดอร์ตกค้างเข้ามาตลอดทั้งเดือน ต่อให้ไม่มีโควิด-19 รอบใหม่ ยอดส่งสินค้าก็โตอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้ก็อาจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตามการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ”