'จตุพร' ส่งไม้ต่อ 'กลุ่มราษฎร' ชี้ นปช.เดินได้ไกลเพียงเท่านี้
'จตุพร' ย้ำ นโยบาย 6 ข้อ และ ขีดเส้นใต้ 'โค่นอำมาตย์' ของ นปช. ยังอยู่ พร้อมส่งต่อ 'กลุ่มราษฎร' ยันไม่ยุบ คนเสื้อแดง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์ ย้ำถึงเรื่องของ นปช.จะเอาอย่างไรต่อไปนั้น โดยต้องการให้เป็นเรื่องการแลกเปลี่ยน เพื่อความเข้าใจกัน
ขบวนการ นปช.มีนโยบายหลัก 6 ข้อ และขีดเส้นใต้ว่าโค่นอำมาตย์ หากเปรียบเสมือนการวิ่งก็วิ่งไปได้ 300 เมตร ส่งไม้กันตามลำดับ ตามกระบวนการที่ต่อสู้กันมา ซึ่งตนก็ได้สอบถามทั้งในซีกฝั่งของนางธิดา ถาวรเศรษฐ หรือแกนนำคนอื่นๆ จะโดยทางตรงหรือพฤติกรรมพฤติการณ์ ไม่มีใครเลยธงของ นปช.แม้เพียงแต่คนเดียว
ขณะเดียวกันข้อต่อสู้ข้อเรียกร้องของกลุ่มราษฎรไปไกลกว่า 300 เมตร ดังนั้น เมื่อเราวิ่งมาถึง 300 เมตรก็ควรส่งไม้ต่อให้กับคนรุ่นใหม่ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะบอกให้เลิกคนเสื้อแดง และ กระบวนการของคนเสื้อแดงก็จะส่งมอบมรดกการต่อสู้ให้คนหนุ่มสาวได้เดินต่อไปเพราะจะมีพลัง
“เมื่อเขาเดินได้ไกลกว่าเรา ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง ดังนั้น กำลังที่เรามีก็มอบให้กับเขา ผมอยากถามว่าคิดแบบนี้เป็นการทรยศคนเสื้อแดงตรงไหน นี่เป็นการซื่อสัตย์ต่อคนเสื้อแดงที่ต้องการให้ผลพวงการต่อสู้ประสบผลสำเร็จ”
นายจตุพร ยังกล่าวว่า ปีใหม่ปีนี้เป็นปีที่ตรงกับช่วงมหกรรม โควิด 19 ซึ่งจริงๆแล้วการรับมือหรือการสร้างข้อห้ามมากมายของรัฐบาลและเกินความจําเป็นและจะสร้างความเสียหายค่อนข้างมากหากย้อนดูโควิด 19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงปีนี้ มีผู้เสียชีวิตจำนวน 64 ราย แต่ 7 วันอันตรายนับตัวเลขถึงเมื่อวานนี้ มีผู้เสียชีวิตกว่า 260 ราย มากกว่าโควิด 19 ทั้งระลอกที่ 1 และระลอกที่ 2 แต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจนั้นมากกว่าทุกกรณีที่เกิดขึ้น ดังนั้น ตนเชื่อว่า ข้อห้ามต่างเป็นเหมือนกับงูรัดและสุดท้ายแล้วจะวิวัฒนาการไปสู่คำว่า lock Down กันอีกครั้ง ซึ่งจะเจ๊งกันแบบถ้วนหน้า แต่หากรัฐประคับประคองความรู้สึกทำความเข้าใจให้อยู่กับเชื้อโควิด 19 เหมือนสมัยโรคซาร์ส หรือแม้กระทั่งโรคเอดส์ที่ช่วงเเรกก็เกิดความวิตก แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะคนก็อยู่กับโรคเหล่านี้ได้
ครั้งนี้ก็เช่นกัน หากรัฐประคับประคองความรู้สึกนั้น ตนเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่รู้จักการป้องกันตัวเอง แต่หากรัฐไปใช้มาตรการ เหมือนในครั้งแรก ตนเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจจะพังทุกอย่างแม้กระทั่งตัวรัฐบาลเอง หลายคนคิดว่ามาตรการต่างๆ ทั้งการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินฯ พ.ร.บ. โรคติดต่อฯ หรือแม้กระทั่งคำสั่งอื่นใดก็ตาม แต่ความเป็นจริงนั้นประชาชนเดือดร้อนทางเศรษฐกิจจำนวนมาก
ดังนั้น ตนมองว่า จากจุดเกิดที่สมุทรสาคร นั้นสิ่งที่รัฐบาลควรจะไปจัดการมากที่สุดคือ ไปดำเนินการกับคนที่ปล่อยปละละเลย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง แม้จะมีวัคซีนที่ใกล้จะมาในเดือนกุมภาพันธ์ แต่สถานการณ์ก็จะเลยไป เหมือนตัวอย่างไข้หวัด 2009 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่าโควิด 19 เมื่อวัคซีนมาถึงคนก็เริ่มหายป่วยกันแล้ว
มาครั้งนี้ก็เช่นกัน หากมาตรการของ ศบค.และรัฐบาลไม่ทำอะไรที่เกินเลย เพราะตนเชื่อว่าคนไทยมีความรับผิดชอบ แต่หากมีความสุ่มเสี่ยงก็ว่าไป ดังนั้นคนมีความทุกข์อยู่แล้วและจะมีคนตกงานเป็นจำนวนมาก และจากสถานการณ์โควิด 19 นี้หากคิดว่าจะเป็นการช่วยพยุงอายุรัฐบาลนั้น เมื่อถึงที่สุดแล้วประชาชนทนไม่ได้ จากความยากจนทั้งปวงก็จะมีการลุกขึ้นมาล้มรัฐบาล ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าสถานการณ์ก็จะเดินไปอย่างรวดเร็ว
“อีกทั้งความมักง่ายของกลไกรัฐได้ปล่อยปละละเลยทั้งเรื่องบ่อนการพนันที่จังหวัดระยองและแรงงานข้ามชาติที่สมุทรสาคร ดังนั้น สถานการณ์โควิด 19 จะไปพร้อมกับสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทย”