บลจ.กสิกรไทย เชียร์ลงทุนหุ้นจีน รับเศรษฐกิจฟื้น ชูกองทุน K-CHINA
บลจ.กสิกรไทยเผย IMF คาดการณ์เศรษฐกิจจีนปี 64 เติบโตโดดเด่น 8.1% แซงหน้าเศรษฐกิจโลก เป็นโอกาสดีลงทุนในหุ้นจีนจากปัจจัยราคาที่ยังไม่แพงและมีแนวโน้มเติบโตสูง ชวนลงทุนกองทุน K-CHINA พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ! ลดค่าธรรมเนียมการซื้อจาก 1.50% เหลือ 0.75%
นายนาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในปีที่ผ่านมา จีนถือเป็นประเทศที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวกลับมาได้ใกล้เคียงระดับปกติ
โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าในปี 2564 เศรษฐกิจจีนจะเติบโต 8.1% ในขณะที่เศรษฐกิจโลกจะเติบโต 5.5%
. ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ชวนผู้ลงทุนมาคว้าโอกาสรับผลตอบแทนในหุ้นจีนกับกองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) ที่เข้าลงทุนในหุ้นจีนครอบคลุมทุกตลาดทั่วโลก (All China) ได้แก่ หุ้นจีน A-Share, H-Share และหุ้นจีนที่จดทะเบียนในอเมริกา (ADR)
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-CHINA มีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds – China Fund, Class JPM China I (acc) – USD ที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนเติบโต (Growth) คุณภาพสูง (High Quality) และอยู่ในกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Economy)
อาทิ กลุ่มธุรกิจเทคโนโยลี กลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ และกลุ่มธุรกิจการบริโภค ยกตัวอย่างหุ้นชื่อดัง เช่น Tencent, Alibaba และ Meituan-Dianping ทั้งนี้กองทุนหลักดังกล่าวมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นติดอันดับ Top 10 จากกองทุนหุ้นจีนกว่า 154 กองทุนทั่วโลก (เทียบในกลุ่ม Morningstar Category EAA OE China Equity ณ 31 ธ.ค. 63)
โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านกองทุนหลักทำผลตอบแทนอยู่ที่ 70.86% เอาชนะดัชนีชี้วัดซึ่งอยู่ที่ 30.75% (ข้อมูล ณ 31 ธ.ค. 63) และขนาดกองทุน JPMorgan Funds – China Fund เติบโตถึง 208% ภายใน 7 เดือน (ข้อมูลจาก Citywire ณ ธ.ค.63)
นอกจากนี้ กองทุน K-CHINA ยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละไม่เกิน 4 ครั้ง เพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนระหว่างการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2556-2563 กองทุนมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งสิ้น 4.55 บาทต่อหน่วย
“บลจ.กสิกรไทยมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในหุ้นจีน จากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง โดยจีนเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ประเทศเดียวที่กลับมาฟื้นตัวใกล้เคียงระดับปกติ ด้วยแรงหนุนจากอุปสงค์ทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะการเติบโตที่มาจากภายในประเทศ จากกลุ่มคนชั้นกลางของจีนกว่า 700 ล้านคนที่มีฐานะและกำลังซื้อมหาศาลที่พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเติบโตระยะยาว เน้นลงทุนและวิจัย พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นอกจากนี้ระดับราคาหุ้นจีนยังมีความน่าสนใจและ Earning Growth มีแนวโน้มเติบโตดี อย่างไรก็ตามต้องจับตานโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนในระยะถัดไป และมาตรการจากภาครัฐที่อาจเข้มงวดขึ้นหากเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติในระยะข้างหน้า” นายนาวินกล่าว
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากกองทุน K-CHINA แล้ว บลจ.กสิกรไทยยังมีกองทุนหุ้นจีนอื่นๆ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุน ได้แก่ กองทุน K-CCTV ที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน A- shares ผ่าน 2 กองทุนต่างประเทศในสัดส่วนประมาณ 70-90% ของ NAV
ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินสดหรือกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งกองทุนนี้เหมาะกับคนที่ต้องการลงทุนในหุ้นจีน แต่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง เนื่องจากกองทุนจะมีโมเดลควบคุมความเสี่ยง
โดยผู้จัดการกองทุนของบลจ.กสิกรไทยจะคอยปรับพอร์ตให้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีกองทุน K-CHX ที่จะลงทุนในหุ้นจีน A- shares โดยมีกลยุทธ์การบริหารเชิงรับ (Passive)
. ซึ่งมุ่งหวังผลตอบแทนอ้างอิงตามดัชนี FTSE China A50 จึงเหมาะกับผู้ที่สามารถจับจังหวะซื้อ-ขายด้วยตนเอง ส่วนผู้ที่ต้องการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีพร้อมทั้งต้องการสะสมผลตอบแทนเพื่อวัยเกษียณ บลจ.กสิกรไทยยังมีกองทุน KCHINARMF ซึ่งมีนโยบายลงทุนเดียวกันกับกองทุน K-CHINA
โดยกองทุน KCHINARMF เป็นกองทุน RMF ของบลจ.กสิกรไทยที่มียอดขายสูงสุดในปี 2564 เมื่อเทียบกับกองทุน RMF อื่นๆ (ข้อมูล ณ 30 ม.ค.2564)
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองทุน K-CHINA บลจ.กสิกรไทย ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษลดค่าธรรมเนียมการซื้อ (Front-end Fee) 50% จาก 1.50% เหลือ 0.75% เมื่อซื้อหรือสับเปลี่ยนเข้า ผ่านแอป K PLUS, K-My Funds และบริการ K-Cyber Invest ในระหว่างวันที่ 8 ก.พ. – 15 มี.ค. 64 โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่ บลจ.กสิกรไทยกำหนด สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888