STGT ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 3.2 หมื่นล้านชิ้น
“ศรีตรังโกลฟส์” ตั้งเป้ายอดขายถุงมือยางปีนี้แตะ 3.2 หมื่นล้านชิ้น เพิ่มขึ้น14%จากปีก่อน เหตุ ดีมานด์ถุงมือยางทั่วโลกโต20% ชี้มีออร์เดอร์ล่วงหน้ายาวกว่า2 ปี พร้อมเดินหน้าขยายกำลังผลิตแตะ 8 หมื่นล้านชิ้นในปี67 ขณะกำไรสุทธิปี63นิวไฮเพิ่มขึ้น 2,246%
นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2563 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัททั้งในด้านกำไรสุทธิและรายได้รวม โดยมีกำไรสุทธิ 14,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,246% จากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 614 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวม 30,405 ล้านบาท โต 154% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้รวม 11,994 ล้านบาท เนื่องจากต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นกว่า 20% หรือประมาณ 3.6 แสนล้านชิ้นต่อปี และมีดีมานด์กระจายตัวในหลากหลายอุตสาหกรรม จากเดิมที่ใช้ในทางการแพทย์เป็นหลัก
ดังนั้นทำให้บริษัทมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก รวมถึงซัพพลายทั่วโลกยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยของถุงมือยางในตลาดโลกปรับขึ้นเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมถุงมือยางทั่วโลกในปี 2564 คาดว่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 20% จากปีที่ผ่านมา แม้ในปัจจุบันเริ่มมีการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 และเริ่มทยอยฉีดแก่ประชาชนในหลายประเทศ เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้การใส่ใจด้านสุขอนามัยกลายเป็น New Normal
ดังนั้นผลิตภัณฑ์ถุงมือยางจะยังเป็นที่ต้องการของวงการแพทย์และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องให้ความสำคัญด้านความสะอาด
ทั้งนี้จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายถุงมือยางในปี 2564 ที่ 32,000 ล้านชิ้น เติบโตราว 14% จากปี2563 ที่ขายได้ 27,965 ล้านชิ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อถุงมือยางธรรมชาติล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 13 เดือน และคำสั่งซื้อ ถุงมือยางไนไตรล์ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 30 เดือน รวมถึงยังไม่เห็นสัญญาณการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าในปัจจุบัน
นอกจากนี้บริษัทฯ วางแผนทยอยเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่อีก 4 แห่ง ในทุกๆ ไตรมาสของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านชิ้นต่อปี จากสิ้นปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 33,000 ล้านชิ้นต่อปี
และมีเป้าหมายขยายกำลังการผลิตอยู่ที่ 80,000 ล้านชิ้น ภายในปี2567 ซึ่งได้เริ่มดำเนินการและคาดว่าจะแล้วเสรจ็เร็วกว่า แผนเดิมที่วางไว้อีก 2 ปี
ด้านที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 4ปี2563 ในอัตรา 2 บาทต่อหุ้นกำหนดจ่าย28 เม.ย.2564