STA ตั้งงบลงทุน 900 ล้านบาท ขยายโรงงานน้ำยางข้น-ธุรกิจกัญชง
"ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี" ประกาศแผนปี 64 วางงบลงทุน 900 ล้านบาท ขยายโรงงานน้ำยางข้นเพิ่มอีก 3 แห่ง หนุนยอดขายเติบโต 16% พร้อมลุยธุรกิจกัญชง ประเดิมปลูก 100-200 ไร่
นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 900 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพื่อใช้ขยายกำลังการผลิตโรงงานน้ำยางข้น รองรับกระแสความต้องการใช้ถุงมือยางที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตน้ำยางข้นแตะ 1.1 แสนตัน/ปี ภายใน 3 ปี หรือเติบโต 39% จากกำลังการผลิตในปี 2563 โดยปักหมุดตั้ง 3 โรงงานในจังหวัดบึงกาฬ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี
ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะนำไปลงทุนในธุรกิจใหม่อย่างธุรกิจกัญชง ภายหลังกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ปลูกได้ตั้งแต่ 29 ม.ค.2564 เป็นต้นมา เบื้องต้นวางแผนปลูกกัญชง 100-200 ไร่ กระจายใน 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน สกลนคร และชัยภูมิ โดยคาดว่าจะเก็บเกี่ยวได้ภายในปีนี้
สำหรับเป้าหมายการดำเนินการในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้าอัตราการใช้ (Utilization Rate) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 62-65% จากปี 2563 อยู่ที่ 54.5% สอดคล้องกับความต้องการใช้ยางแท่ง ยางแผ่น และน้ำยาง ที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ประมาณ 80% อยู่ในธุรกิจยางล้อรถยนต์
อย่างไรก็ดี ในมุมของการขยายธุรกิจผ่านการจัดตั้งโรงงานใหม่ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้าจะมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากบริษัทฯ หันไปปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการผลิตแทน ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการผลิตน้ำยางของโรงงานเดิมเพิ่มขึ้นเท่าตัว
เมื่อสอบถามถึงแนวโน้มธุรกิจถุงมือยาง นายวีรสิทธิ์ กล่าวว่า แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลง แต่ความต้องการใช้ถุงมือยางและราคาขายยังค่อนข้างสูง สะท้อนจากคำสั่งซื้อรอส่งมอบ (ฺBacklog) ของถุงมือยางธรรมชาติที่ยังใช้เวลานานถึง 13 เดือน และถุงมือยางไนไตรระยะเวลารอส่งมอบ 30 เดือน
"ตั้งแต่มีข่าวคิดค้นวัคซีนสำเร็จในเดือน พ.ย.2563 ก็ยังไม่มีลูกค้ารายไหนสั่งถุงมือยางน้อยลง ขอยกเลิก หรือขอลดราคา เพราะหลังยุคโควิด-19 ถุงมือยางกลายเป็นสินค้าที่จำเป็นทั้งทางการแพทย์และชีวิตประจำวัน โดยเป็นอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 25%"
ทั้งนี้ การดำเนินผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางอยู่ภายใต้บริษัทย่อย บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ซึ่งบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้น 56%
สำหรับการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2564 คาดว่าจะมีปริมาณการขายยางพาราธรรมชาติทั้งปีไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านตัน หรือเฉลี่ยไตรมาสละไม่ต่ำกว่า 3 แสนตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 16% จากปี 2563 ที่มีปริมาณการขายยางพาราธรรมชาติ 1.03 ล้านตัน โดยสถานการณ์ในช่วง 1-2 เดือนแรกที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในระดับที่ดี
ขณะที่สถานการณ์ราคายางพาราธรรมชาติไตรมาส 1/2564 ยังอยู่ในระดับที่ดี คาดว่าราคาเฉลี่ยยางแท่งจะเพิ่มขึ้น 5-10% จากไตรมาส 4/2563 ที่มีราคาเฉลี่ย 148 เซนต์สหรัฐต่อกิโลกรัม จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้ยางที่เพิ่มขึ้น รวมถึงคาดว่าจะเห็นดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้