กัญชา-กัญชง โอกาสใหม่ฟื้นธุรกิจ อาหารเครื่องดื่มเสิร์ฟเมนู ชิงลูกค้าสายเขียว
“กัญชา-กัญชง” กำลังจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของไทย และมีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการมากมาย ยิ่งกว่านั้น ภายหลังประเทศไทยปลดล็อกให้นำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆได้ ผู้ประกอบการ ผู้บริโภค ตลาดขานรับกันอย่างคึกคัก
เมื่อตลาดกัญชา-กัญชง เตรียมแจ้งเกิดอย่างสวยงาม จึงไม่พลาดที่ภาคธุรกิจจะต้องกระโดดเข้าไปมีส่วนแบ่งเค้ก ส่วนใหญ่จะคว้าโอกาสไปได้มากน้อย ยังต้องติดตามระยะยาว แต่ระยะสั้น ผู้ประกอบการเห็นตรงกันว่าสินค้าดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการ “คืนชีพ” ให้ธุรกิจได้ จากที่ผ่านมาต่างน่วมอ่วมจากโรคโควิด-19 ระบาด
กรรณิการ์ ชินประสิทธิ์ชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอาวุโส บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด เล่าถึงการตัดสินใจชิมลางสร้างสรรค์เมนูอาหารที่มีวัตถุดิบ “กัญชา-กัญชง” เป็นส่วนประกอบเพราะมองเป็นนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการที่สนใจ แต่ผู้บริโภคเองก็มีความต้องการ จึงต้องตอบสนองกลุ่มเป้าหมายให้ทันท่วงที
ทั้งนี้ แบล็คแคนยอน ไม่ปิดกั้นเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่มีกัญชากัญชง เพราะเพียงแค่ผู้บริโภคสั่ง ทางร้านยินดีปรุงให้ทุกจาน ขณะที่การเปิดร้านประเดิมทดลองสาขาที่กรมการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข ส่วนเครื่องดื่มขยายการให้บริการที่สาขาพระราม 9 ด้วย
“การนำกัญชากัญชงมาอยู่ในอาหารและเครื่องดื่ม เป็นนวัตกรรม และสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ผู้บริโภคต้องการสัมผัส อยากลองสินค้า การที่รังสรรค์เมนูให้ ถือเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้ผู้บริโภค”
เมนูยอดนิยมที่ลูกค้าสั่งช่วงแรก ได้แก่ ผัดไทย ก๋วยเตี๋ยว ซึ่งจะมีการเติมใบกัญชาสดเข้าไปปริมาณหนึ่ง จึงมีส่วนให้ราคาขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 25 บาท แต่ผู้บริโภคยังจับต้องได้ ขณะที่เครื่องดื่มขายในราคาเดิม ล่าสุดยังเตรียมส่งเมนูใหม่กลุ่มชาร้อนและชาเย็นที่มีส่วนผสมกัญชากัญชงด้วย ส่วนจะขยายการให้บริการครอบคลุมร้านแบล็คแคนยอนที่มี 310 สาขาทั่วประเทศ จะต้องพิจารณาปริมาณวัตถุดิบกัญชากัญชงมีเพียงพอหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การนำกัญชากัญชงมามาประกอบอาหารและเครื่องดื่มช่วยสร้างสีสัน ปลุกชีพธุรกิจร้านอาหารให้มีชีวิตมีชาวมากขึ้น ผู้บริโภคมีความตื่นเต้น ต้องการมาลอง ขณะที่ลูกค้าประจำที่มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์หรือลอยัลตี้ จะออเดอร์เมนูโปรดที่มีส่วนผสมาวัตถุดิบดังกล่าวไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้พลาดเมื่อมารับประทาน
มนตรี ฮาซันมิน ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อโณทัย 2019 จำกัด ผู้ประกอบการร้านอาหารอาโนส์(Arno's) กล่าวว่า การปลดล็อกให้กัญชงกัญชามาอยู่ในสินค้าได้ รวมถึงร้านอาหาร ส่งผลให้่ธุรกิจมีความคึกคัก เพิ่มบรรยากาศให้ผู้บริโภคอยากลองรับประทานเมนูอาหารที่มีวัตถุดิบดังกล่าวเป็นส่วนประกอบมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัททดลงพัฒนาเมนูอาหาร 40 รายการ จากร้านมีนับร้อยเมนู เพื่อเสิร์ฟผู้บริโภค เช่น กระเพราเนื้อริบอายผสมกัญชา ก๋วยเตี๋ยวผสมกัญชา กัญชาทอดทานกับลาบไก่ และยำต่างๆ ราคาขายเพิ่มจากปกติ 30-40 บาทต่อจาน ส่วนใหญ่เลือกอาหารไทยผสมกัญชากัญชงเพราะมองว่ารสชาติลงตัวกว่าอาหารตะวันตก
“เราทดลองเสิร์ฟเมนูอาหารที่มีวัตถุดิบกัญชากัญชงภายในร้านอาโนส์ สาขาทองหล่อ ผลตอบรับระยะแรกลูกค้ายังไม่ค่อยรับรู้มากนัก แต่เมื่อเข้ามาใช้บริการเห็นเมนูก็อยากลอง ทำให้สร้างยอดขายได้เฉลี่ย 6,000-7,000 บาทต่อวัน หากยอดขายแตะ 15,000 บาทต่อวัน จะพิจารณาขยายไปยังสาขาอื่นๆ จากปัจจุบันมีร้าน 17 สาขา”
ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่าแนวโน้มตลาดกัญชาทั่วโลกยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2567 มูลค่ารวมทั่วโลกจะมากกว่า 1.03 แสนล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นตลาดกัญชาเพื่อการแพทย์ราว 60% และอยู่ในตลาดเพื่อการสันทนาการ 40% โดยปัจจุบันมีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มของโลกสนใจใช้สารสกัดจากกัญชาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ จึงคาดว่าตลาดกัญชาทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยจะเติบโตและกระจายในหลายธุรกิจมากขึ้น ถือเป็นเทรนด์ใหญ่หรือ Mega Trend ในอนาคต
ทั้งนี้ เซ็ปเป้ ได้พัฒนานวัตกรรมเครื่องดื่มเมนูใหม่ที่มีส่วนผสมกัญชา เช่น มาเพรียวกัญ ราคา 69 บาท และท็อกซ์กัญ ราคา 89 บาท ส่วนเครื่องดื่มมะพร้าวน้ำหอมออลโคโคมี 2 เมนู ได้แก่ มะพร้าวน้ำหอมเกล็ดหิมะผสมใบกัญชา ราคา 149 บาท และโมฮิโต โคโค เฮฟเว่น ราคา 149 บาท
พงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอาวุโส บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จํากัด กล่าวว่า บริษัทพัฒนาสูตรสินค้าที่มีส่วนผสมกัญชากัญชงไว้แล้ว หากองค์การอาหารและยา(อย.)กำหนดสัดส่วน ปริมาณการใช้ของวัตถุดิบออกมาชัดเจน ก็พร้อมปรับสูตรเพื่อเปิดตัวสู่ตลาดทันที นำร่องชาชง เพราะมีผลวิจัยรองรับ และอาจขยายสู่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่อไป