'กรมอนามัย' ยัน 'แตงโมต้มน้ำตาล' รักษา 'โรคไต' ไม่ได้ !
'กรมอนามัย' เตือนคนไทยที่ได้รับข้อมูลเรื่อง 'แตงโมต้มน้ำตาล' มากินเพื่อรักษา 'โรคไต' ไม่ใช่เรื่องจริง หากกินเยอะเกินไป เสี่ยงเป็นโรคอ้วน เบาหวาน และฟันผุได้ แนะนำหากเป็น 'โรคไต' ควรปรึกษาแพทย์ และควบคุมอาหารให้เหมาะกับร่างกาย
วันนี้ (9 มิ.ย. 64) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวที่แชร์กันอยู่ ใน สื่อออนไลน์ ประเด็น 'แตงโมต้มน้ำตาล' การต้ม'แตงโม'ไฟอ่อนผสมน้ำตาล และปั่นทิ้งไว้ 4-5 วัน จะได้น้ำเหนียวๆ เรียกว่า 'น้ำตาลแตงโม' กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น จะช่วยรักษา 'โรคไต' ได้ ซึ่งคำแนะนำในเรื่องนี้ ไม่เป็นความจริง แต่อย่างใด
- 'น้ำตาลแตงโม 'รักษา 'โรคไต' ไม่ได้ แถมเสี่ยงอ้วน
นอกจากจะรักษา'โรคไต'ไม่ได้แล้ว การกินน้ำตาลมากเกินไป ก็มีความเสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวาน และฟันผุ ได้อีกด้วย โดยปกติผู้เป็น 'โรคไต' ต้องควบคุมและจำกัดอาหารตามระยะของ'โรคไตเรื้อรัง' ไม่กินอาหารที่มีโซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัสมาก และต้องควบคุมอาหารตามคำแนะนำของแพทย์และนักกำหนดอาหาร โดยเฉพาะ ผู้ที่มีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง ต้องงดกินผักและผลไม้ที่ มีโพแทสเซียมปานกลางและสูง ได้แก่ แครอท บล็อกโคลี ถั่วฝักยาว ฟักทอง มะเขือเทศ ส้มโอ องุ่น แก้วมังกร มะละกอ ส้ม ฝรั่ง แตงโม เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ไตเรื้อรัง โพแทสเซียมสูง ควรงด 'แตงโม'
ทั้งนี้ ใน 'แตงโม' 100 กรัม มีน้ำตาล 6 - 11 กรัม มีโพแทสเซียม 103 - 122 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 9 - 11 มิลลิกรัม และฟอสฟอรัส 10 - 14 มิลลิกรัม แล้วแต่ชนิดของ'แตงโม' โดยปริมาณ'แตงโม' ที่แนะนำต่อวัน สำหรับคนปกติ 8 ชิ้นพอคำหรือ 170 กรัม
สำหรับผู้ป่วย 'โรคไต' เรื้อรังสามารถกินผลไม้วันละ 1-2 ส่วน เช่น 'แตงโม' 1 ส่วนเท่ากับ 6-8 ชิ้นพอคำ แต่หากเป็นผู้ป่วย 'โรคไต' เรื้อรัง ที่มีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง ควรงดการกิน 'แตงโม'
- 'โรคไตเรื้อรัง' ระวังการบริโภคอาหาร
“ผู้ป่วย 'โรคไตเรื้อรัง' ควรระมัดระวังเรื่องการบริโภคอาหารด้วย โดยกินข้าวแป้งซึ่งเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต ไม่เกิน 6 ทัพพีต่อวัน ได้แก่ ข้าวขาว วุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ สาคู เป็นต้น หลีกเลี่ยงข้าวกล้องและขนมปัง กินเนื้อสัตว์ที่เป็นแหล่งของโปรตีน ได้แก่ ไข่ขาว เนื้อปลา เนื้อไก่ เนื้อหมูไม่ติดมัน เป็นต้น กินเนื้อสัตว์ไม่เกิน 7 ช้อนโต๊ะต่อวันสำหรับผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะ 1-3 และไม่เกิน 5 ช้อนโต๊ะต่อวันสำหรับผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะ 4-5 รวมถึงบริโภคอาหารลดหวาน มัน เค็ม โดยกินน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน น้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน และเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน
อีกทั้งควบคุมโซเดียม หลีกเลี่ยง น้ำปลา ซอสปรุงรส ผงชูรส อาหารหมักดอง เนื้อสัตว์แปรรูปต่าง ๆ ผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง อาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง ได้แก่ นม ไข่แดง ถั่ว ชา กาแฟ เป็นต้น และอาหารที่มีพิวรีนสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ ยอดผัก ใจผัก หน่อไม้ หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น
"รวมถึงหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดด้วย และการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ได้พลังงานจากอาหารเพียงพอ ไม่กินเค็ม พักผ่อนให้เพียงพอ และไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากโรคส่วนใหญ่ใช้เวลารักษานาน ผู้ป่วยจึงไม่ควรเพิ่ม ลด หยุดยา หรือซื้อยาไปกินเอง เพราะอาจเป็นอันตรายได้” อธิบดีกรมอนามัยกล่าว