กรุงไทยชี้หุ้นโลกผันผวน แนะลงทุนหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงรับผลตอบแทนสูง

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย(KTB) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย เปิดขายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงอิงดัชนี Krungthai SOLUX10F Luxury Index Linked Note เมื่อวันที่ 7-11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าและนักลงทุนอย่างล้นหลาม 

 ทั้งนี้มีียอดจองซื้อถึง 726 ล้านบาท ดีเกินความคาดหมาย เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์นักลงทุนรายใหญ่ โดยมีจุดเด่นที่ธนาคารคุ้มครองเงินต้น100% และยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ผลตอบแทนสูงขึ้น ตามดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าและบริการLuxuryทั่วโลก ซึ่งดัชนีอ้างอิง SOLUX10F เติบโตต่อเนื่องมากกว่า 2% ขณะที่นักลงทุนยังได้ประโยชน์อีกต่อจากค่าเงินยูโรที่แข็งค่ากว่า 3% หนุนให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกู้ดังกล่าวปรับสูงขึ้น

สำหรับภาพรวมตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 มองว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูงขึ้น หลังปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา โดยดัชนีหุ้นทั่วโลก เช่น MSCI ACWI INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 40%ใน 1 ปี(ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564)ประกอบกับ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)อาจส่งสัญญาณลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือการทำQE Taperingรวมไปถึงการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์Deltaในหลายประเทศโดยเฉพาะในเอเชีย

ดังนั้นการกระจายเงินเข้าลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงที่มีการคุ้มครองเงินต้น และเปิดโอกาสให้ได้ผลตอบแทนสูงขึ้นตามดัชนีหุ้น ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้นักลงทุนในภาวะดอกเบี้ยต่ำ และลดความเสี่ยงจากการขาดทุน

“ธนาคารยังมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายในปีนี้ เพื่อตอบโจทย์การลงทุนทุกด้านให้กับลูกค้าในแต่ละกลุ่ม โดยคำนึงถึงการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง ไปพร้อมๆกับการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุน”

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามบริการและผลิตภัณฑ์การลงทุนได้ที่ Krungthai Contact Center 02-111-1111 หรือ อีเมลล์ [email protected]

อนึ่งKrungthai SOLUX10F Luxury Index Linked Note" หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง อายุ 5 ปี จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนี Solactive Luxury Dynamic Factors 10%  Daily Risk Control Index (SOLUX10F) 

SOLUX10F เป็นดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าและบริการระดับ Luxury ชั้นนำทั่วโลก อาทิ HERMES, LVMH, FERRARI, PORSCHE, RICHEMONT, KERING, DIAGEO, MONCLER, BURBERRY, PANDORA, ESTEE LAUDER และ L'ORÉAL เป็นต้นลงทุนขั้นต่ำ 5 ล้านบาท 

“ธุรกิจสินค้าและบริการกลุ่ม Luxury ทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก Pent-up Demand หลังการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown อันเป็นผลพวงจากอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของธุรกิจกลุ่ม Luxury”‘Home Isolation’