“นิพิฐ” โต้“วัชรพล-สุภา”เลือกปฏิบัติ ลั่นไม่เคยยื้อคดีปาล์มอินโดฯ
“นิพิฐ” โต้คดีปาล์มอินโดฯ กรณีกรรมการ ป.ป.ช.ระบุว่าถูกฟ้อง-ไม่ได้รับความยุติธรรม“ไม่เป็นความจริง” ชี้ ป.ป.ช.มีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ เลือกปฏิบัติ ลั่นไม่ได้ประวิงเวลา ต้องพิสูจน์ความจริงให้พ้นบ่วงกรรม ยืนยันเป็นผู้บริสุทธิ์
จากกรณีเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2564 พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป.ป.ช.และนางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ได้กล่าวระหว่างรับฟังความคิดเห็นครบรอบ 3 ปี พ.ร.บ. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ตอนหนึ่งในทำนองรู้สึกอึดอัดเพราะถูกฟ้องหลายคดี เพื่อประวิงเวลา และใช้คำสั่งศาลเพื่อดูพยานเอกสาร โดยคดีปาล์มอินโดฯ ถูกฟ้องมากที่สุด
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในคดีปาล์มอินโดฯ ได้ชี้แจงว่า การให้ข่าวโอดครวญ ประหนึ่งว่า ป.ป.ช.ไม่ได้รับความยุติธรรมนั้น ไม่เป็นความจริง ต้องถามว่าทำคดีกันอย่างไรให้ถูกฟ้อง ถ้าทำถูกต้องไม่มีใครไปฟ้อง ชาวบ้านทั่วไปคงไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว สำหรับตนไม่จำเป็นที่จะต้องประวิงเวลา เพราะตนไม่ได้ทำผิด แต่ถูกใส่ร้าย
"ผมยากพิสูจน์ตนเองให้พ้นบ่วงกรรมนี้ให้เร็วที่สุด
ถามว่า ฝ่ายป.ป.ช.เองที่ประวิงคดี เพื่อช่วยเหลือใครหรือไม่ ส่วนพยานเอกสารตนไม่จำเป็นต้องใช้คำสั่งศาลเพื่อขอดูพยานเอกสาร ในทางตรงกันข้ามตนเป็นฝ่ายที่นำส่งเอกสารให้กับป.ป.ช.โดยเฉพาะนางสาวสุภา หลายครั้งหลายหน เอกสารหลายหมื่นแผ่น ไม่ทราบว่านางสาวสุภาได้นำเข้าสำนวนหรือนำมาพิจารณาหรือไม่"
ในส่วนของตน ในเมื่อไม่สามารหาความยุติธรรมจากป.ป.ช.ได้ และได้รับผลกระทบหรือได้รับความเสียหายจากการกระทำของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงต้องเรียกหาความเป็นธรรมผ่านศาลสถิตยุติธรรม
นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยากล่าวต่อไปว่า ตน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 รวมทั้งสิ้น 4 คดี ตลอดเวลานับแต่ตนได้มีหนังสือกล่าวหานายไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีตรัฐมนตรีช่วยกระทรวงคมนาคมกับพวก ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2556 เป็นต้นมา
"แต่คดีไม่มีความคืบหน้า เมื่อได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อ พ.ต.อ. วัชรพล ไม่คืบหน้า แต่ในขณะเดียวกันคดีที่ตนเองถูกนายไพรินทร์ มีหนังสือกล่าวหา คณะกรรมการ ป.ป.ช. กลับเร่งพิจารณาคดีและแจ้งข้อกล่าวหา โดยไม่นำพยานหลักฐานที่นำส่งให้มาประกอบการวินิจฉัย"
“ผมรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างมาก ผมทำงานให้กับ ปตท. ด้วยความทุ่มเทมาตลอด 30 กว่าปี มีประวัติการทำงานโดดเด่น แต่ต้องมาถูกกล่าวหาว่าทุจริต โดยไม่มีโอกาสบอกว่าความจริงว่าเป็นอย่างไร ถูกไล่ออกโดยไม่ได้รับผลตอบแทนจากการทำงานดีเด่นมาตลอดแม้แต่บาทเดียว นอกจากเสียประวัติการทำงานแล้ว เกียรติยศของครอบครัวและวงศ์ตระกูลก็เสื่อมเสียไปด้วย ทั้งที่ไม่ได้ทำการทุจริตอะไรเลย มีแต่ทำประโยชน์ให้องค์กรของประเทศชาติมาทั้งชีวิต”
สำหรับคดีปาล์มอินโดฯ มีการกล่าวหากันจนถึงวันนี้ผ่านไปจะ 10 ปีแล้ว ยังสรุปไม่ได้ ตนได้ชี้แจงข้อเท็จจริงข้อมูลการทุจริต และพยานหลักฐานอยู่อย่างพร้อมมูล และได้ส่งให้แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปแล้ว เมื่อติดตามความคืบหน้าการไต่สวนก็ได้รับคำตอบเพียงว่า ยังไม่เสร็จแต่ไม่ได้บอกว่าถึงไหนและยังเหลืออะไรอีก
นายนิพิฐกล่าวว่า ที่ผ่านมาพยายามรวบรวมพยานหลักฐานยื่นฟ้องนายไพรินทร์ กับพวกที่ร่วมกันกระทำทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ปตท. และ ปตท. กรีนเอ็นเนอร์ยี่ ในโครงการปลูกและผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศอินโดนีเซียต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง รวมทั้งสิ้น 6 คดี ทั้งเรื่องร่วมกันทุจริตอนุมัติใช้จ่ายเงินพัฒนาโครงการ ขายโครงการสวนปาล์มให้แก่พวกพ้องในราคาต่ำกว่าราคาท้องตลาด เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าบุคคลที่กระทำทุจริตในโครงการปาล์มอินโดฯ และทำให้ ปตท. ต้องเสียหาย มิใช่ตนเอง แต่ปรากฏว่านางสาวสุภา ได้มีหนังสือถึงศาลอ้างว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จนเป็นเหตุให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีทั้งหมดเพื่อรอผลการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่จนกระทั่งปัจจุบันคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ได้มีความคืบหน้าในการไต่สวนข้อเท็จจริงในประเด็นที่ตนได้กล่าวหาและยื่นฟ้องทั้ง 6 คดีแต่อย่างใด
นายนิพิฐกล่าวว่า ตนไม่สามารถขอความเป็นธรรมจากใครได้เลย จนกระทั่งต่อมาเมื่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้มีมติให้สามารถฟ้อง ป.ป.ช. ที่ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายได้ จึงเป็นหนทางที่เปิดโอกาสให้ตนที่ได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ของพ.ต.อ. วัชรพล นางสาวสุภา และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. บางคน
ทั้งนี้ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ทั้งการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ดำเนินการอย่างไม่เป็นกลาง การใช้คำถามนำในการสอบปากคำพยานชาวอินโดฯ เพื่อให้ได้คำตอบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับตน เมื่อไม่ได้คำตอบอย่างที่ต้องการก็แก้ไขคำให้การและนำเอากลับไปให้พยานลงลายมือชื่อในภายหลัง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่นางสาวสุภา จะเดินทางไปสอบพยานที่ประเทศอินโดนีเซีย 2 วัน มีข่าวสินบนพยานปากสำคัญมีการกล่าวถึงอย่างมากในอินโดนีเซีย อีกทั้งมีการแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดด้วย ส่วนตน ถูก ป.ป.ช. กล่าวหาว่ามีส่วนในการรับเงินค่านายหน้า จากการจัดหาที่ดินปลูกปาล์มในอินโดนีเซีย ซื้อสิทธิ์ในที่ดินในราคาแพง และได้รับส่วนต่าง ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย
“จนมาถึงวันนี้ ป.ป.ช. ยังหาเงินส่วนต่างที่กล่าวหาว่าผมได้รับจากการทำทุจริตไม่ได้เลยแม้แต่บาทเดียว” นายนิพิฐย้ำ.