ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจ่อขึ้น ราคา บีบรัฐคุมต้นทุน

ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจ่อขึ้น ราคา บีบรัฐคุมต้นทุน

ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยื่นเรื่องขอปรับราคากระทรวงพาณิชย์ หลังต้นทุนพุ่งทั้งแป้งข้าวสาลี น้ำมันปาล์ม ร้องรัฐอย่างขึ้นภาษีความเค็มและขึ้นภาษีเอดีฟิลม์

รายงานจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ขณะนี้มีผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคหลายราย ได้ยื่นเรื่องขอปรับขึ้นราคาสินค้าเข้ามายังกรมการค้าภายในอย่างต่อเนื่อง ตามต้นทุนวัตถุดิบ และต้นทุนน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีสินค้าที่น่าจับตา เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนแป้งข้าวสาลีและน้ำมันปาล์ม ที่ปรับตัวสูงขึ้น และสูงขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2564 จนถึงปัจจุบัน ทำให้มีความกังวลว่าผู้ผลิต อาจจำเป็นต้องปรับราคาเพิ่มขึ้น หากแบกรับภาระต้นทุนไม่ได้

ทั้งนี้ ต้นทุนแป้งข้าวสาลี เพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 โดยราคาข้าวสาลีตลาดโลก ช่วงเดือนม.ค.2563 อยู่ที่เฉลี่ย 550 ดอลลลาร์ต่อตัน พอมาม.ค.2564 เพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 660 ดอลลาร์ต่อตัน และล่าสุดเดือนธ.ค.2564 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 770 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ต้นทุนน้ำมันปาล์ม เมื่อช่วงต้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 35-40 บาทต่อลิตร แต่ปัจจุบันเฉลี่ย 50-55 บาทต่อลิตร
         
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่ผู้ผลิตจะได้รับผลกระทบด้านต้นทุนจากมาตรการของรัฐคือ การปรับขึ้นภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) สินค้าฟิล์มบีโอพีพี ที่เป็นต้นทุนหีบห่อ ซึ่งล่าสุดกรมการค้าต่างประเทศได้แจ้งถึงกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่าได้มีผลการพิจารณาการไต่สวนชั้นที่สุดการเรียกเก็บเอดีสินค้าฟิล์มบีโอพีพี ที่มีแหล่งกำเนิดจากจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซียแล้ว ซึ่งหากมีการเรียกเก็บเอดี ก็จะกระทบต่อต้นทุนการผลิตสูงถึงซองละ 50 สตางค์ เพราะต้นทุนหีบห่ออยู่ที่ประมาณ 10%

ขณะเดียวกัน มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีความเค็ม ที่ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาการเก็บภาษีสรรพสามิตความเค็มตามปริมาณโซเดียม ซึ่งหากออกมา ก็จะมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด กรมการค้าภายใน ได้ขอความร่วมมือให้ตรึงราคาไปก่อน แต่ภาครัฐต้องหาทางช่วยลดต้นทุนในส่วนที่ภาครัฐดูแลอยู่ เช่น การไม่ขึ้นภาษีเอดีฟิล์มบีโอพีพี ซึ่งเป็นต้นทุนหีบห่อที่สำคัญ เพราะส่วนนี้ผู้ผลิตไม่สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ รวมถึงภาษีความเค็ม ที่รัฐกำลังพิจารณา ต้องดูให้เหมาะสม เพราะเป็นส่วนที่ผู้ผลิต บริหารจัดการต้นทุนไม่ได้เช่นเดียวกัน