ทุนจีนปั้น‘ทรัสต์ ซิตี้’ 500ไร่ ชูศูนย์ค้าส่ง-ฮับฟินเทค
เบสท์ กรุ๊ป ผนึกทุนจีน พัฒนาที่ดิน 500 ไร่ ย่านบางนา-ตราด สร้างเมืองการค้า “ทรัสต์ ซิตี้” มูลค่า “แสนล้าน” เทียบชั้นสิงคโปร์ ชูแม่เหล็ก ศูนย์ค้าส่ง-ฮับฟินเทคระดับภูมิภาค “ไฮดู” เผยเลือกไทยลงทุนต่างประเทศแห่งแรก ระบุต้นทุนต่ำ โอกาสทางการตลาดสูง
นายสิทธิชัย เจริญขจรกุล ประธาน บริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เตรียมลงทุนก่อสร้างโครงการ ทรัสต์ ซิตี้ เวิลด์ เอ็กซิบิชั่น แอนด์ เทรด เซ็นเตอร์ หรือ เมืองส่งเสริมการค้าและศูนย์แสดงสินค้าระดับโลกขนาดใหญ่ครบวงจรในไทย มูลค่าโครงการ 1 แสนล้านบาท
โครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้ บริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป จำกัด เป็นการร่วมทุนระหว่าง เบสท์กรุ๊ป และ ไฮดู กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง มีบริษัทแม่อยู่ในประเทศจีน โดยเบสท์ กรุ๊ป ถือหุ้นสัดส่วน 60% วางงบลงทุนกับโครงการนี้ราว 8 หมื่นล้านบาท ส่วนไฮดู กรุ๊ป ถือหุ้นราว 40% จะมีส่วนช่วยในการดึงดูดผู้ผลิตสินค้าจากจีนและทั่วโลกเข้ามาจับจองพื้นที่ซื้อขายในโครงการ ด้วยความเชี่ยวชาญจากการเป็นผู้พัฒนาเมืองใหม่รายใหญ่อันดับ 2 ของจีนอยู่แล้ว ปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่การค้าใน 20 เมือง รวมกว่า 10.4 ล้านตร.ม.
ชูศูนย์กลางค้าส่ง-ฮับฟินเทค
สำหรับโครงการทรัสต์ ซิตี้ ในไทย คาดเปิดให้บริการปลายปี 2563 จะมีพื้นที่ใช้งานเชิงพาณิชย์รวมกว่า 2.5 ล้านตร.ม. อยู่บนที่ดิน 500 ไร่บน ถ.เทพรัตน บางนา-ตราด แบ่งการก่อสร้างเป็น 6 โซนธุรกิจ โดยจะมีไฮไลท์โครงการเป็นอาคารศูนย์กลาง (ฮับ) ด้านเทคโนโลยีการเงิน หรือ ฟินเทค ซึ่งเป็นธุรกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่มีสถานที่ที่เป็นศูนย์กลางในอาเซียนที่ชัดเจน
ดังนั้น จึงตั้งเป้าจะนำธุรกิจในด้านเทคโนโลยีและการเงินมารวมตัวกันในโครงการนี้ ประกอบกับการเป็นพันธมิตรกับ ดับบลิว เวนเจอร์ ซึ่งดำเนินธุรกิจการลงทุนด้านฟินเทคโดยเฉพาะ เช่น คราวด์ฟันดิ้ง และเข้ามาเป็นผู้ช่วยระดมทุนในโครงการครั้งนี้ จึงทำให้มั่นใจว่าจะดึงดูดกลุ่มธุรกิจเฉพาะกลุ่มนี้ได้แน่นอน
สำหรับ 6 โซนธุรกิจประกอบด้วย 1.โซนจัดแสดงสินค้าพื้นที่รวมกว่า 1 แสนตร.ม. 2.ศูนย์แสดงสินค้าถาวรทุกหมวดหมู่จากผู้ผลิตและตัวแทนการค้าราว 2 หมื่นราย สร้างเป็นอาคารสูง 7 ชั้น 3.โรงแรมสำหรับนักธุรกิจทั่วไปและท่องเที่ยว รวมถึงที่พักระยะยาว (เรสซิเดนส์) รวมกว่า 1.2 หมื่นยูนิต 4.ศูนย์แสดงสินค้าถาวรขนาดเล็ก รองรับสินค้าบริการเครื่องจักรอุตสาหกรรม 5.ศูนย์กลางสำนักงานด้านฟินเทคและโรงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งสร้างเป็นอาคารสูงที่มีการจำลองพระที่นั่งสุพรรณหงส์มาไว้บนยอด เพื่อเป็นแลนด์มาร์กของโครงการ และมีศูนย์ประชุมลอยฟ้าขนาดใหญ่ และศูนย์อาหารภายในอาคาร และ 6.ออโต้ ทาวน์ โซน อาคารแสดงนวัตกรรมยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่งอื่นๆ
หวังเทียบชั้นสิงคโปร์
เบสท์ กรุ๊ป มีพื้นฐานด้านการลงทุนสร้างคลังสินค้าที่ใช้นวัตกรรม มีพื้นที่รวม 1.2 แสนตร.ม. อยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาก่อน
"ส่วนตัวเริ่มแนวคิดมาตั้งแต่ 10 ปีก่อน ว่าต้องการสร้างเมืองที่เป็นศูนย์กลางด้านค้าปลีกขนาดใหญ่ในไทยให้เทียบชั้นสิงคโปร์ ซึ่งที่จริงแทบไม่มีฐานการผลิตของตัวเองเลย แต่สามารถเป็นตลาดกลางสำหรับการซื้อขายที่สำคัญในเอเชียได้ แต่สำหรับไทยที่มีศักยภาพและความพร้อมกว่า ในด้านการเป็นผู้ผลิต มีโรงงานแต่กลับไม่มีที่แสดงสินค้าที่เป็นหลักแหล่งชัดเจน เพื่อส่งเสริมสถานะให้ผู้ผลิตมีตลาดเปิดกว้าง ทั้งๆ ที่ผู้ซื้อผู้ขายทั่วโลกสนใจมาไทยมากกว่า หากเทียบกับต้องไปติดต่อในจีน ที่มีเมืองการค้าในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นจำนวนมาก”
นายสิทธิชัย กล่าวด้วยว่า ทรัสต์ ซิตี้ วางตำแหน่งตลาดแตกต่างจากผู้ประกอบการค้าปลีกในย่านเดียวกันชัดเจน กล่าวคือ มุ่งการค้าส่ง และรองรับการเติบโตของกลุ่มไมซ์ โดยมีตลาดท่องเที่ยวประกอบส่วนหนึ่ง ขณะที่คู่แข่งเน้นการค้าปลีกและท่องเที่ยวเป็นหลัก
ส่วนกระแสการซื้อขายแบบอี-คอมเมิร์ซ ที่เติบโตสูง และเริ่มเข้ามาทดแทนการใช้พื้นที่ก่อสร้างศูนย์การค้านั้น ประเมินว่าไม่กระทบเช่นกัน เนื่องจากวางเป้าหมายให้ทรัสต์ซิตี้ เป็นแหล่งค้าส่งที่ธุรกินการค้าในอี-คอมเมิร์ซจะต้องมาจับจ่ายหาสินค้าเพื่อไปจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ วางเป้าหมายการค้าเป็นล็อตการสั่งขนาดใหญ่ สามารถใช้การพบปะตัวต่อตัว สามารถเข้ามาดูนวัตกรรมหรือสินค้าจริงตามแบบที่สั่งได้ ขณะที่แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ เป็นการสั่งซื้อรายย่อยมากกว่า
“เชื่อว่าโครงการจะสอดรับกับการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้ในแง่ที่จะมีตลาดกลางในการให้ผู้ผลิตมาพบกับตลาดผู้ซื้อทั่วโลก และสำหรับลูกค้าที่เข้ามา จะได้สิทธิในการเซ้งระยะยาว 20 ปีทันที ซึ่งการใช้พื้นที่จัดแสดงสินค้าในศูนย์แห่งนี้ จะประหยัดงบประมาณมากกว่าการไปออกเอ็กซิบิชั่นต่างๆ 5 เท่า”
ไฮดูฯลงทุนตปท.ครั้งแรก
ด้านนายเชง ยิว ฮุง รองประธานบริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจากไฮดู กรุ๊ป กล่าวว่า ทรัสต์ซิตี้ เป็นการลงทุนต่างประเทศครั้งแรก สาเหตุที่เลือกประเทศไทยเพราะมีบรรยากาศในการทำธุรกิจที่คุ้นเคย เนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่ยาวนาน มีชาวจีนเดินทางมาอยู่อาศัยจำนวนมาก ขณะที่มูลค่า หรือต้นทุนทางด้านที่ดินและการก่อสร้างในไทยอยู่ในระดับราคาสมเหตุสมผล มีความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เมื่อเทียบกับฮับการค้าดั้งเดิมในเอเชียอย่าง ฮ่องกง ที่มีต้นทุนสูง และไม่มีที่ดินขนาดใหญ่มากพอ
“การขยายการลงทุนนอกประเทศจีน ยังสอดรับกับที่รัฐบาลจีนที่ดำเนินนโยบายเส้นทางสายไหมใหม่ในศตวรรษที่ 21 หรือ One Belt One Road ที่ต้องการให้นักลงทุนจีนมองการขยายธุรกิจมายังเอเชียมากขึ้น”
ทั้งนี้ วางเป้าหมายให้โครงการนี้เป็นศูนย์กลางการค้าส่งที่รวมทุกตลาดทั่วโลก โดยจะมีการสร้างอินเตอร์เนชั่นแนล พาวิลเลียน เพื่อให้ผู้ผลิตจากประเทศต่างๆ มาแสดงสินค้าพบปะกับตลาดผู้ซื้อ ด้วยความเชี่ยวชาญที่มีในจีน เชื่อว่าจะมีผู้ผลิตเข้ามาแสดงสินค้าราว 20% เป็นพื้นฐาน แต่จะให้ความสำคัญกับผู้ผลิตท้องถิ่นในไทยสูงกว่าที่ 40%