"สมคิด" เผยคำขอรับส่งเสริมลงทุนปี 2561 ทะลุ 9 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้า 7.2 แสนล้านบาท เฉพาะอีอีซี 6.8 แสนล้าน ตั้งเป้าปีนี้ 7.5 แสนล้านบาท สั่ง “บีโอไอ” ออกแพ็คเกจส่งเสริมเขตพัฒนาพิเศษภาคใต้ เหนือ อีสาน หวังลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายการทำงานและการส่งเสริมการลงทุนในปี 2562 ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า การลงทุนในปี 2561 ที่ผ่านมา มีนักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 1,626 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 901,770 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7.2 แสนล้านบาท หรือสูงกว่าเป้า 25%
โดยเป็นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นส่วนใหญ่ 84% หรือ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 7.58 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ได้แก่ ดิจิทัล การแพทย์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และอากาศยาน เงินลงทุนรวม 5.39 แสนล้านบาท และ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม ได้แก่ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ท่องเที่ยว และแปรรูปอาหาร เงินลงทุนรวม 2.19 แสนล้านบาท
“ในช่วงไตรมาสสุดท้ายมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และกลุ่มยานยนต์หลายรายมายื่นขอรับส่งเสริมในกิจการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งมาตรการสิ้นสุดในปี 2561 จึงทำให้มูลค่าคำขอในปีที่ผ่านมาสูงกว่าเป้าหมายถึง 25%”
ชลบุรีแชมป์ลงทุนอีอีซี
สำหรับการขอรับส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 422 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 683,910 ล้านบาท เป็นคำขอลงทุนใน จ.ชลบุรีมากที่สุดจำนวน 193 โครงการ เงินลงทุนรวม 576,910 ล้านบาท ตามด้วย จ.ระยอง 156 โครงการ เงินลงทุนรวม 58,700 ล้านบาท และ จ.ฉะเชิงเทรา 73 โครงการ เงินลงทุนรวม 48,300 ล้านบาท
ส่วนในปี 2562 บีโอไอได้ตั้งเป้าหมายยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนไว้ที่ 7.5 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายในปีนี้ที่ตั้งไว้ 7.2 แสนล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากประเมินว่าในปีหน้ามีปัจจัยลบหลายเรื่อง เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ แต่จะเน้นนักลงทุนที่มีคุณภาพ เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ส่วนการลงทุนในพื้นที่อีอีซี คาดว่าจะไม่ต่ำกว่าเป้าหมายในปีนี้ที่ตั้งไว้ 3 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกจะเป็นเรื่องนโยบายที่ประเทศจีนและญี่ปุ่นจะร่วมมือไปลงทุนในประเทศที่ 3 โดยได้เลือกประเทศไทยเป็นเป้าหมายหลักที่จะเข้ามาลงทุน โดยในช่วงเดือนมี.ค. 2562 คณะนักลงทุนทั้ง 2 ประเทศ จะเดินทางมาร่วมประชุมกับนักธุรกิจไทย ซึ่งเป็นการประชุมร่วมกันครั้งแรกที่ประเทศไทย ซึ่งบีโอไอกำลังเตรียมประชุมเพื่อให้เกิดผลประโยชน์กับประเทศไทยเต็มที่
บีโอไอจัดสัมมนาใหญ่ มี.ค.นี้
รวมทั้งจะมีการจัดสัมมนาใหญ่ของบีโอไอประจำปี ในช่วงเดือน มี.ค. ซึ่งจะดึงนักลงทุนไทยและต่างประเทศมาร่วมงาน โดยได้สรุปธีมการจัดงานไว้แล้ว และให้บีโอไอไปสรุปรายละเอียดเพื่อสื่อให้นักลงทุนต่างชาติได้เห็นจุดเด่นในการมาลงทุนในประเทศไทย
นอกจากนี้ ผลจากสงครามการค้า ยังส่งผลบวกต่อการลงทุนไทย ซึ่งจากการพูดคุยกับผู้ประกอบการในหลายประเทศ ต่างมองหาลู่ทางที่จะย้ายฐานการลงทุนจากประเทศอื่นมาไทย เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของสงครามการค้า ซึ่งได้ให้ บีโอไอ จัดตั้งทีมงาน เพื่อโฟกัสการดึงดูดผู้ประกอบการเหล่านี้ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
สั่งออกแพ็คเก็จ “เอสอีซี”
นายสมคิด กล่าวว่า มอบให้บีโอไอออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในภูมิภาค เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างการพัฒนาในท้องถิ่นให้มากขึ้น ซึ่งหลังจากที่อีอีซีเดินหน้าไปแล้ว ในปี 2562 มอบหมายให้บีโอไอ ไปจัดหามาตรการและเครื่องมือดึงดูดการลงทุนไปลงในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคใต้ (เอสอีซี) ใน 4 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี เพื่อให้เกิดการลงทุนจริง
“ภายในปีนี้จะผลักดันนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เอ็นอีอีซี) ซึ่งจะเน้นในอุตสาหกรรมชีวภาพ จะเห็นกรอบมาตรการส่งเสริมที่ชัดเจน ว่าบีโอไอจะให้การส่งเสริมอย่างไร และเขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือ (เอ็นอีซี) ที่จะเจาะจงส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ เชื่อมโยงกับเทียนสิน ที่เป็นแหล่งสตาร์ทอัพของจีน”
ทั้งนี้ นอกจากในเขตพัฒนาพิเศษดังกล่าว บีโอไอต้องเพิ่มสิทธิประโยชน์กับธุรกิจที่สร้างความเจริญพัฒนาในท้องถิ่น เช่น อุตสาหกรรมการเกษตร การลงทุนด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงเมืองรอง การลงทุนในธุรกิจท่องเที่ยวเมืองรอง ซึ่งควรจะได้สิทธิประโยชน์มากกว่าการลงทุนในเมืองหลัก รวมไปถึงการลงทุนธุรกิจการศึกษา ซึ่งธุรกิจเหล่านี้จะต้องการจายออกไปในภูมิภาคท้องถิ่นต่างๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันมากขึ้น
เล็งส่งเสริมลงทุนท่องเที่ยว
นายสมคิด กล่าวว่า มอบหมายให้บีโอไอออกมาตรการสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากการท่องเที่ยวด้วย เช่น ธุรกิจการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมกำจัดน้ำเสีย และขยะมูลฝอย รองรับจำนวนขยะที่เกิดจากการท่องเที่ยว รวมไปถึงเกษตรชุมชน และธุรกิจอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะธุรกิจท่องเที่ยวจะช่วยกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ จะให้ บีโอไอ ออกมาตรการสนับสนุนธุรกิจก่อสร้างที่อยู่อาศัย เหมือนในอดีตที่มีโครงการบ้าน บีโอไอ เนื่องจากที่ผ่านมาโครงการบ้านล้านหลัง ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก ซึ่งการที่บีโอไอออกมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล จะทำให้ผู้ประกอบการขายบ้านในราคาที่ต่ำลง ทำให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถมีบ้านของตนเองได้ อย่างไรก็ตามมาตรการที่จะออกมาจะต้องมีเงือนไขการควบคุมคุณภาพบ้านออกมาด้วย