โบรกชี้ธุรกิจพลังงาน‘ขาลง’ กดดันหุ้นกลุ่มปตท.
โบรกเกอร์ แนะเลี่ยงลงทุนหุ้นพลังงาน ชี้แนวโน้มผันผวนสูง “ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี” ประเมินระยะยาวราคาน้ำมันยังเป็นขาลง เหตุพลังงานทดแทนจ่อแทนที่ ด้าน “บล.กสิกรไทย” ฟันธงธุรกิจพลังงานยังเป็น “ขาลง” อีก 2 ปี เหตุเศรษฐกิจโลกชะลอ ความต้องการใช้ลด
ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง “ยกแผง” ในวานนี้(18ก.ย.) หลังซาอุดิอาระเบียเตรียมกลับมาผลิตน้ำมันได้ตามปกติในช่วงสิ้นเดือนนี้ กดดันราคาน้ำมันตลาดโลกปรับลดลง ส่งผลให้ “5หุ้น” กลุ่มปตท. ปรับลดลงค่อนข้างแรง ส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) ในหุ้นกลุ่มนี้ปรับลดลงราว 9.3 หมื่นล้านบาท
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง เนื่องจาก ราคาน้ำมันดิบลดลงแรง 6 % จากประเทศซาอุดิอาระเบีย จะกลับมาผลิตน้ำมันตามปกติ และสถาบันปิโตรเลียมของอเมริกา(API) ประกาศสตํ็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 5 แสนบาร์เรล จากที่ตลาดคาดลดลง 2 แสนบาร์เรล
สำหรับแนวโน้มหุ้นกลุ่มพลังงานในช่วงนี้ มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับลดลงต่อ เพราะช่วงต้นสัปดาห์ราคาน้ำมันขยับขึ้นถึง 15% ก่อนจะปรับลดลงเพียงแค่ 6% ยังมีโอกาสที่ลดลงได้อีก จึงแนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานในช่วงนี้
นอกจากนี้ต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จะเป็นการกระตุ้นความต้องการใช้ จึงเป็นผลบวกต่อกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ส่วนระยะกลางเลือกเป็นรายตัว เน้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น TOP และ SPRC เพราะค่าการกลั่นยังคงปรับตัวขึ้น จากปัจจัยเรื่อง IMO
ส่วนระยะยาว ราคาน้ำมันมีทิศทางปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เพราะ เทคโนโลยีเข้ามาดิสรัป มีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า( EV) ที่ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง และ มีการใช้เอทานอล แทนการใช้น้ำมนเบนซิน มากขึ้น รวมถึงสหรัฐ จะมีการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในปี 2030 เพิ่มเป็น 25 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากสิ้นปีนี้คาดอยู่ที่12 ล้านบาร์เรล
นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า ราคาหุ้นน้ำมันที่ปรับลดลงแรง มีสาเหตุหลักจากซาอุดิอาระเบียประกาศจะกลับมาผลิตน้ำมันตามปกติ ทำให้การผลิตกลับมาเร็วกว่าที่คาด มีผลทำให้โรงกลั่นและปิโตรเคมีที่ลดการผลิตกลับมาผลิตได้ตามปกติ ซึ่งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และปิโตรเคมี นั้นมีสต็อกสินค้ารองรับกับควาต้องการช่วงสั้นได้ จึงคาดว่าผลกระทบไม่มาก และที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นแรง
นอกจากนี้ที่อินเดีย มีการห้ามใช้พลาสติกครั้งเดียวแล้วทิ้ง เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 ต.ค.นี้ จึงมีผลกระทบต่อหุ้นปิโตรเคมี เพราะ ประเทศอินเดียเป็นผู้ใช้รายใหญ่ และมีอัตราการเติบโตสูง ทำให้มีแรงขายหุ้นปิโตรเคมี
สำหรับการลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี จะมีความผันผวนสูง จากปัจจัยการเมืองในตะวันออกกลาง ซึ่งนักลงทุนต้องระมัดระวัง เนื่องจาก แนวโน้มธุรกิจที่เป็นขาลงอีก 2 ปีทั้งน้ำมันดิบ และปิโตรเคมี เพราะ ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ความต้องการใช้ลดลง
ขณะที่ปริมาณการผลิตใหม่ ส่วนของน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น ของสหรัฐ และกำลังการผลิตใหม่ส่วนของปิโตรเคมีจาก จีน ดังนั้น ภาพใหญ่ยังเป็นแนวโน้มขาลง แต่ปัจจัยระยะสั้น เช่น เรื่องซาอุดิอาระเบียเป็นเหตุการณ์ระยะสั้นที่สามารถให้เทรดดิ้งได้ โดยนักลงทุนต้องใช้วิจารณญาณในการลงทุน แต่ธุรกิจโรงกลั่นยังลงทุนได้ เพราะมีปัจจัยบวกเรื่อง IMO ที่เป็นปัจจัยหนุน ทำให้ค่าการกลั่น มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามนักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ เพราะ มีปัจจัยเสี่ยงค่อนข้างมาก
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-จีนเดินหน้าซื้อน้ำมันอิหร่านเมินสหรัฐคว่ำบาตร
-นักวิเคราะห์เตือนจีนเตรียมลดสั่งซื้อน้ำมันสหรัฐ
-ค่าเงินสหรัฐฯ และราคาน้ำมันดิบ กดดันตลาดหุ้นเอเชียและไทย
-วิตกศก.โลกชะลอฉุดราคาน้ำมันดิ่งต่ำสุดรอบ4ปี