สธ.เพิ่มเฝ้าระวัง 'ไวรัสโคโรน่า' ในคนไทยอาชีพเสี่ยง
สธ.แจ้งความเอาผิด 7 มือแพร่ข่าวลวงไวรัสโคโรน่า ขยายวงเฝ้าระวังครอบคลุมคนไทยอาชีพสัมผัสใกล้ชิดนักท่องเที่ยวจีน 30 ม.ค.เชิญจังหวัดประชุมเตรียมรับสถานการณ์ พร้อมแนะคนไทยป้องกันตัวเองจากไวรัส ยันไร้นักการเมืองแทรกแซง
เมื่อวันที่ 29 ม.ค.2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) แถลงข่าวความคืบหน้าการเฝ้าระวังควบคุมโรคปอดอักเสบติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019ว่า จากการเฝ้าระวังข้อมูล 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ประเทศไทยยังไม่พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ฯเพิ่มเติมแต่อย่างใด ยอดผู้ป่วยสะสมที่ยืนยันขณะนี้อยู่ที่ 14 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 5 ราย ยังอยู่ในห้องแยกโรคของสถาบันบำราศนราดูร และรพ.ราชวิถี อาการดีขึ้น ไม่มีอะไรน่ากังวล และยังไม่พบการติดเชื้อจากภายในประเทศไทยแต่อย่างใด ทั้งหมดเป็นผู้ที่รับเชื้อมาจากประเทศจีนทั้งสิ้น
ขณะที่ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคเฝ้าระวังสะสมตั้งแต่วันที่ 3 – 28 ม.ค. มี 158 ราย โดยเป็นการคัดกรองได้ที่สนามบิน 29 คน เดินเข้ามาที่สถานพยาบาลเอง 129 ราย โดยในจำนวน 158 รายนี้ ให้กลับบ้านแล้ว 62 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ โรโนไวรัส เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเฉพาะเมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา มีคนที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค 22 ราย ซึ่งเป็นคนที่มาจากหลายเมืองของจีน ไม่เฉพาะแค่เมืองอู่ฮั่นเท่านั้น และการเจอผู้ป่วยเข้าเกณฑ์จะเจอได้ทุกวัน
ขออย่าเชื่อข่าวลือใดๆ หากมีข้อสงสัยให้สอบถามมาที่กระทรวงสาธารณสุข
หรือโรคสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ หรือเฟสบุ๊คกรมควบคุมโรค
“ขออย่าเชื่อข่าวลือใดๆ หากมีข้อสงสัยให้สอบถามมาที่กระทรวงสาธารณสุข หรือโรคสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ หรือเฟสบุ๊คกรมควบคุมโรค และต้องขอความร่วมมือกับประชาชนอย่าแชร์ข่าวลือ ข่าวลวงจนทำให้เกิดความตื่นตระหนก และล่าสุดวันนี้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับผู้ปล่อยข่าวลวงเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าแล้ว 7 ราย ขอความร่วมมืออย่าแชร์ข่าวลวง หากแชร์จะมีความผิดไปด้วย” นพ.ธนรักษ์กล่าว
นพ.ธนรักษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการเฝ้าระวัง ควบคุม ป้องกันโรคในปัจจุบันมีการประเมินและดำเนินการเหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งในการคัดกรองและเฝ้าระวังได้มีการขยายวงให้ครอบคลุมคนไทยที่มีอาชีพต้องสัมผัสใกล้ชิดกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนด้วย อาทิ มัคคุเทศก์ หากพบว่ามีไข้ ไอ เจ็บคอ จะต้องนำเข้าระบบการเฝ้าระวังด้วย นอกจากนี้ สธ.มีการเตรียมความพร้อมจนถึงภาพของสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว แม้ปัจจุบันสถานการณ์จะยังอพบผู้ป่วยติดเชื้อจากนอกประเทศ แต่ในอนาคตก็เป็นไปได้ที่จะเริ่มพบผู้ป่วยในประเทศที่ไม่เคยเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงระบาดมาก่อน เช่นในญี่ปุ่นและเยอรมันที่พบแล้ว แต่ยังอยู่ในวงจำกัด หรือสถานการณ์ต่อไปก็จะขยายการติดเชื้อวงกว้างขึ้นเป็นคนในจังหวัดเดียวกัน ซึ่งระยะเวลาบอกไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ อาจจะวันนี้ พรุ่งนี้หรือไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้
ดังนั้น ในวันที่ 30 ม.ค.จะมีการประชุมร่วมกับทีมที่เกี่ยวข้องในทุกจังหวัดทั่วประเทศเพื่อวางแผนและแนะนำวิธีปฏิบัติหากพบการแพร่ระบาดวงเล็กๆในพื้นที่ใด โดยมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาก เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ เหล่านี้เป็นการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าก่อนที่สถานการณ์จะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ เพราะโอกาสที่จะเกิดกาแพร่ระบาดในประเทศก็เป็นไปได้
ขณะนี้นอกจากประเทศจีน พบว่า มีประเทศญี่ปุ่นและเยอรมนีด้วยที่พบการติดเชื้อจากภายในประเทศแล้ว ถามว่าต้องห้ามนักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านี้ด้วยหรือไม่ และในอนาคตหากมีประเทศอื่นที่เจอการติดเชื้อเช่นนี้ด้วย จะต้องห้ามประเทศอื่นๆเพิ่มเติมด้วยหรือไม่ และถ้าประเทศไทยทำแบบนั้นแล้วไม่มีใครเข้ามาในประเทศเลย สภาพประเทศจะเป็นอย่างไร
- WHO ไม่แนะนำปิดประเทศ
ต่อข้อถามมีกระแสชาวโซเชียลต้องการห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศ นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า ในการจัดการจะพิจารณาจาก 3 ส่วนสำคัญ คือ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และวิธีลดผลกระทบ และขณะนี้นอกจากประเทศจีน พบว่า มีประเทศญี่ปุ่นและเยอรมนีด้วยที่พบการติดเชื้อจากภายในประเทศแล้ว ถามว่าต้องห้ามนักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านี้ด้วยหรือไม่ และในอนาคตหากมีประเทศอื่นที่เจอการติดเชื้อเช่นนี้ด้วย จะต้องห้ามประเทศอื่นๆเพิ่มเติมด้วยหรือไม่ และถ้าประเทศไทยทำแบบนั้นแล้วไม่มีใครเข้ามาในประเทศเลย สภาพประเทศจะเป็นอย่างไร
อีกทั้ง องค์การอนามัยโลกหรือฮู (WHO) กำหนดไว้ว่าการจำกัดการค้าและการเดินทางเป็นวิธีการป้องกันโรคที่ไม่แนะนำ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากที่มีการประเมินสถานการณ์อาจจะลากยาวถึง 6 เดือน ทีมควบคุมป้องกันโรคยังต้องเตรียมการอะไรเพิ่มหรือไม่ นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า ที่ทำอยู่ตอนนี้ถือว่าเพียงพอ ทางกรมการแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกองทัพก็ส่งบุคลากรมาเสริมการทำงานนับว่าเป็นเรื่องดี แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องการอีกมาก คือ เครื่องวัดอุณหภูมิมือถือแบบที่ใช้วัดอุณหภูมิโดยไม่สัมผัสตัวบุคคล อาจจะต้องสั่งซื้อเพิ่ม
ทั้งนี้ ในการต่อสู้กับโรคระบาดต้องขอความร่วมมือกับประชาชนอย่างมาก ด้วยการฝึกปฏิบัติตนเอง ด้วยการยึดหลัก อู่ฮั่น (W-U-H-A-N) คือ ล้างมือ (W - wash hands) ใช้หน้ากากอนามัย (U - use mask properly) วัดอุณหภูมิร่างกายว่ามีไข้หรือไม่ (H - have temperature checked regularly) หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีผู้คนแออัด (A - avoid large crowds ) และอย่านำมือที่ไม่สะอาดมาสัมผัสใบหน้า(N - never touch your face with unclean hands)
ขอยืนยันว่าทีมเฝ้าระวังควบคุมโรคของเราทำงานอย่างมีอิสระมาก ไม่มีการแทรกแซงจากภาคการเมืองเลย
“ขอยืนยันว่าทีมเฝ้าระวังควบคุมโรคของเราทำงานอย่างมีอิสระมาก ไม่มีการแทรกแซงจากภาคการเมืองเลย ในทางกลับกันยังได้รับการสนับสนุนการทำงานอย่างสะดวกมากขึ้นด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุขยังสั่งการให้เราทำงานอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนมั่นใจ พวกเราเป็นนักสู้ ถ้าอนาคตจะมีการเมืองเข้ามาแทรกแซงเราจะไม่ยอม ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชน ป้องกันไม่ให้บอบช้ำให้มากที่สุด” นพ.ธนรักษ์กล่าว
ด้าน พญ.นฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมการแพทย์ กล่าวว่า โดยหลักการเชื้อนี้เหมือนหวัดทั่วไป แต่เชื้อนี้ใหม่ เม็ดเลือดขาวไม่เคยเจอ ร่างกายก็จะจัดการ แต่ถ้าร่างกายเราแข็งแรง เม็ดเลือดก็ไปฆ่าเชื้อตัวนี้ตาย แต่ถ้าร่างกายเราไม่แข็งแรง ตัวนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ถ้าเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ อย่างที่จีนเจอส่วนใหญ่ก็เป็นผู้สูงอายุ พวกนี้ก็จะอาการหนักกว่าปกติ
การใส่หน้ากากอนามัยหลักการคือไม่ให้ผู้ป่วยแพร่กระจายเชื้อ เพราะคนไอ จาม เชื้อจะกระจายไปได้ไกลเป็นเมตร ถ้าใส่หน้ากากเชื้อก็จะไม่ไปไกล แนะหากไอ จาม ไม่ได้ใส่หน้ากากอย่าใช้มือปิดเพราะเชื้อจะติดมือหากไปสัมผัสที่อื่นแล้วคนอื่นมาสัมผัสต่อก็จะรับเชื้อได้ ให้ใช้เสื้อตัวเองมาปิด เชื้อจะได้อยู่เฉพาะที่เสื้อ ซึ่งธรรมชาติเชื้อไวรัสเปลือกหุ้มตายง่าย แค่ล้างมือด้วยสบู่เชื้อก็ตาย หรือไม่ทำอะไรเลยในสภาพแวดล้อมปกติก็ตายในเวลาไม่ถึง 10 นาที
โดยหลักการเชื้อนี้เหมือนหวัดทั่วไป แต่เชื้อนี้ใหม่ เม็ดเลือดขาวไม่เคยเจอ
ร่างกายก็จะจัดการ แต่ถ้าร่างกายเราแข็งแรง เม็ดเลือดก็ไปฆ่าเชื้อตัวนี้ตาย