'ขึ้นทะเบียนเกษตรกร' มีกี่ประเภท? รายละเอียดเป็นอย่างไร?
เปิดหลักเกณฑ์ “ขึ้นทะเบียนเกษตรกร” มีกี่ประเภท? และแต่ละประเภทหรือหน่วยงานมีรายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง หรือลักษณะใดถึงจะเข้าหลักเกณฑ์การเป็นเกษตรกร เพื่อจะมีสิทธิ์เข้าเกณฑ์มาตรการเยียวยาเกษตรกร 15,000 บาท
จากมาตรการเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกร 15,000 บาทนั้น ยังมีเกษตรกรอีกราว 1 ล้านกว่าราย ที่ยังต้องเข้าไปปรับปรุงบัญชีเกษตรกร และขึ้นทะเบียนเกษตรกร เนื่องจากยังไม่เคยขึ้นทะเบียน แต่ประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรรม ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้จะต้องดำเนินการภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เพื่อให้เข้าเกณฑ์การรับเงินเยียวยาเกษตรกร รายละ 5,000 บาท ระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่พฤษภาคม-กรกฎาคม 2563
"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ได้รวบรวมข้อมูลหลักเกณฑ์ในการขึ้นทะเบียนเกษตรกรในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหลักเกณฑ์ในการขึ้นทะเบียนเกษตรกรนั้น จะต้องเป็นไปตามคำนินามเกษตรกร คือ บุคคลธรรมดาที่ประกอบการเกษตร และนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบการเกษตร และได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้กับหน่วยงานที่ขึ้นทะเบียนตามระเบียบฯ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- ‘www.เยียวยาเกษตรกร.com’ เตรียมเปิดให้ ‘เกษตรกร’ ที่ไม่มีบัญชี ธ.ก.ส. ลงทะเบียนรับเงินได้ วันนี้
- เช็คที่นี่ครบ! เงินเยียวยาเกษตรกร 15,000 อัพเดทความคืบหน้า และเทคนิคลงทะเบียน
- เราไม่ทิ้งกัน เร่งตรวจ ทบทวนสิทธิ์ ให้เสร็จใน 17 พ.ค. นี้
ส่วนนิยามของครัวเรือน คือ บุคคลเดียว หรือหลายคนที่อาศัยอยู่ในบ้านหรือสถานที่เดียวกัน และจัดหาหรือใช้สิ่งอุปโภคบริโภคอันจำเป็นแก่การครองชีพร่วมกัน ซึ่งกำหนดให้ 1 ทะเบียนบ้าน เป็น 1 ครัวเรือน โดยแยกหลักเกณฑ์ตามหน่วยงานต่างๆ ได้ดังนี้
- กรมส่งเสริมการเกษตร
1.การทำนา หรือทำไร่ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน 1 ไร่ขึ้นไป
2.การปลูกผัก หรือการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ หรือการเพาะเห็ด หรือการปลูกพืชอาหารสัตว์อย่างใดอย่างหรือรวมกัน 1 งานขึ้นไป
3.การปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น หรือการปลูกสวนป่า หรือปลูกป่าเศรษฐกิจแบบสวนเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน 1 ไร่ขึ้นไป และมี 50 ต้นขึ้นไป
4.การปลูกไม้ผล/ไม้ยืนต้นแบบสวนผสมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันอย่างน้อย 1 ไร่และมี 50 ต้นขึ้นไป
5.การเลี้ยงแม่โคนม 1 ตัวขึ้นไป
6.การเลี้ยงโค หรือกระบือ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน 2 ตัวขึ้นไป
7.การเลี้ยงสุกร แพะ หรือแกะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน 5 ตัวขึ้นไป
8.การเลี้ยงสัตว์ปีก 50 ตัวขึ้นไป
9.การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
10.การทำนาเกลือสมุทร 1 ไร่ขึ้นไป
11.การปลูกหม่อน การเลี้ยงไหมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน
12. การเพาะเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจและเกษตรอื่นๆ
13.ประกอบการเกษตรอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ 12 ข้อ และมีรายได้ตั้งแต่ 8,000 บาทต่อปีขึ้นไป
- กรมปศุสัตว์
1.การเลี้ยงแม่โคนม 1 ตัวขึ้นไป
2.การเลี้ยงโค หรือกระบือ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือรวมกัน 2 ตัวขึ้นไป
3.การเลี้ยงสุกร แพะ หรือแกะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน 5 ตัวขึ้นไป
4.การเลี้ยงสัตว์ปีก 50 ตัวขึ้นไป
5.กรณีจำนวนสัตว์ที่เลี้ยงไม่เป็นไปตามเกณฑ์ ต้องมีการเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นร่วมด้วยไม่น้อยกว่า 1 ชนิด
- กรมประมง
1.การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) เช่น ฟาร์มเลี้ยง โรงเพาะฟัก ที่ทะเบียนเกษตรกรยังมีอายุอยู่
2.เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ทำการประมง (ทบ.3) ได้แก่ ทะเบียนชาวประมง (ภาคสมัครใจ) / ทะเบียนเจ้าของเรือประมงพื้นบ้าน / ทะเบียนผู้ได้รับอนุญาตทำการประมง / ทะเบียนผู้ได้รับอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน ตาม ม.174 แห่ง พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 / ทะเบียนคนประจำเรือประมงทั้งเรือประมงพาณิชย์และเรือประมงพื้นบ้าน (แรงงานไทย) ที่ทะเบียนเกษตรกรยังมีอายุอยู่
3.เกษตรกรที่ได้รับอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตาม ม.175 แห่ง พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558
4.เกษตรกรได้จดแจ้งการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน
5.ทะเบียนผู้จดแจ้งการประกอบกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม ในพื้นที่ตามประกาศของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดตาม ม.77 พ.ศ.2558
6.การทำนาเกลือสมุทร 1 ไร่ขึ้นไป
- กรมหม่อนไหม
1.การปลูกหม่อน การเลี้ยงไหม อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน
1) ใบหม่อนสดเพื่อจำหน่ายใบ ต้องมีพื้นที่/จำนวนต้นไม่น้อยกว่า 1 งาน หรือ 250 ต้น
2) ใบหม่อนเพื่อทำชาหม่อน ต้องมีพื้นที่/จำนวนต้น ไม่น้อยกว่า 1 งาน หรือ 250 ต้น
3) หม่อนผลสด ต้องมีพื้นที่/จำนวนต้น ไม่น้อยกว่า 1 งาน หรือ 25 ต้น
4) ใบหม่อนสดเพื่อเลี้ยงไหมหัตถกรรม ต้องมีพื้นที่/จำนวนต้น ไม่น้อยกว่า 1 งาน หรือ 250 ต้น
5) ใบหม่อนสดเพื่อเลี้ยงไหมอุตสาหกรรม ต้องมีพื้นที่/จำนวนต้น ไม่น้อยกว่า 1 ไร่ หรือ 375 ต้น
2.เกษตรกรผู้เลี้ยงไหมต้องมีห้องเลี้ยง/โรงเลี้ยงไหม พร้อมอุปกรณ์การเลี้ยงไหมครบ
3.เกษตรกรผู้ทอผ้าไหม ต้องมีกี่อย่างน้อย 1 ตัว พร้อมอุปกรณ์การทอผ้าไหมครบ โดยมีกี่เป็นของตนเอง และหรือเป็นของกลุ่ม
- การยางแห่งประเทศไทย
1.ผู้ขอขึ้นทะเบียนจะต้องเป็นเจ้าของ ผู้เช่า หรือผู้ทำสวนยาง และคนกรีดยาง ซึ่งมีสิทธิได้รับผลผลิตจากต้นยางในสวนยางนั้น
2.ผู้ขอขึ้นทะเบียนสามารถขอขึ้นทะเบียนได้ ณ ที่ทำการการแยางแห่งประเทศไทย หรือสถานที่ที่การยางแห่งประเทศไทยกำหนด ในพื้นที่สวนยางตั้งอยู่ หากมีสวนยางหลายแปลงและอยู่ต่างพื้นที่กัน ให้ไปยื่นขอขึ้นทะเบียนในพื้นที่ตามที่ตั้งแปลงหลักหรือแปลงที่มีพื้นที่มากสุด
3.เกษตรกรชาวสวนยางต้องมีสวนยางตั้งอยู่บนที่ดินที่ตนเองมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิ์ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นผู้เช่า หรือผู้ทำยาง หรือคนกรีดยางในสวนยางดังกล่าว
4.กรณีคนกรีดยาง ให้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนได้ ณ ที่ทำการการแยางแห่งประเทศไทย หรือสถานที่ที่การยางแห่งประเทศไทยกำหนด ในพื้นที่สวนยางตั้งอยู่เท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีหลีกเกณฑ์ของหน่วยงานอื่นๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ที่มีการกำหนดการขอจดทะเบียนเป็นชาวไร่อ้อย ตาม พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ.2527 และการขอจดทะเบียนเป็นหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย ตาม พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ.2527 รวมถึงการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย เป็นต้น ซึ่งสามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย อีกทั้งยังมีหลักเกณฑ์อื่นๆ ของการยาสูบแห่งประเทศไทย
ที่มา : doae, bangkokbiznews, rubber, mcot, dld,