'Electoral Vote' คืออะไร ทำไมถึงเป็นจุดชี้ชะตา ผลเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา
ลุ้นผลการเลือกตั้งสหรัฐโค้งสุดท้าย! "โจ ไบเดน" และ "โดนัลด์ ทรัมป์" ใครจะได้เป็นปธน. เรื่องหนึ่งที่ต้องเข้าใจ คือ "Electoral Vote" ที่ทำให้การเลือกตั้งอเมริกาไม่เหมือนใคร เพราะถึงคะแนนรวมจะมากกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่า จะได้เป็นประธานาธิบดี!
ท่ามกลางความดุเดือดของ “การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2020” ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และ โจ ไบเดน (Joe Biden) ที่ผลคะแนนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แถมยังบี้กันไปมาชนิดไม่มีใครแพ้ชนะขาดลอย จนโลกต้องเกาะติดชนิดห้ามกะพริบตา
เพราะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผู้ที่จะได้ขึ้นมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั้น สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้ากับจีน และนโยบายด้านต่างประเทศต่างๆ ของสหรัฐ ที่ถือเป็นมูลเหตุสำคัญให้ทั้งโลกต้องจับตาว่า ใครจะคว้าเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไปครอง
สำหรับ “การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2020” ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และ โจ ไบเดน (Joe Biden) ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันกับทุกๆ ครั้ง นั้นคือ ไฮไลต์สำคัญอย่าง “Electoral Vote” หรือ “คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง” จุดชี้ชะตาว่า ใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะต้องได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งของรัฐต่างๆ รวมกัน อย่างน้อย 270 เสียง จาก 538 เสียง
- Electoral Vote มาจากไหน ?
เรื่องหนึ่งที่ต้องทราบหากจะติดตามข่าวการลุ้นผลคะแนนเลือกตั้งสหรัฐ คือ ระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไม่เหมือนประเทศอื่นๆ โดยจะมี 2 แบบ เรียกว่า Popular Vote กับ Electoral Vote โดยไม่ใช่ว่า ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะสามารถเลือกประธานาธิบดีได้โดยตรง แต่ที่ประชาชนจะได้เลือก คือ “คณะผู้เลือกตั้ง” หรือ Electoral College ซึ่งจะเป็นผู้แทนของประชาชนไปเลือกตั้งประธานาธิบดี (electoral vote) อีกต่อหนึ่ง
ซึ่งแต่ละรัฐก็จะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรของรัฐนั้นๆ โดยกติกาที่รัฐส่วนใหญ่ใช้กัน คือกฎที่เรียกว่า Winner Takes All คือ ใครได้คะแนนเสียงมากกว่า ก็จะได้คะแนนเสียงทั้งรัฐไป มีเพียง 2 รัฐเท่านั้น คือ เมน และ เนบราสกา ที่จัดสรรคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งให้ตามคะแนนเสียงที่ได้รับจากพลเมือง หรือ Popular Vote
ฉะนั้น ถ้าจะลุ้นกันว่า ใครได้เป็นประธานาธิบดี ก็ต้องดูกันที่ electoral vote ไม่ใช่ Popular Vote โดยผู้ที่จะได้เป็นประธานาธิบดีต้องได้คะแนนจาก “คณะผู้เลือกตั้ง” (Electoral Voter) ของรัฐต่างๆ รวมกันอย่างน้อย 270 เสียง จากจำนวนทั้งสิ้น 538 เสียง
ที่ผ่านมามีหลายต่อหลายครั้งที่ผู้ชนะ Popular Vote แต่ไปแพ้ Electoral Vote เช่น แอนดรู แจ็กสัน แพ้ต่อ จอห์น อดัมส์, แซมมวล ทิลเดน แพ้ต่อ รูเธอฟอร์ด เฮย์, กริฟเวอร์ คลีฟแลนด์ แพ้ต่อ เบนจามิน แฮริสัน ,อัล กอร์ แพ้ต่อ จอร์จ ดับเบิลยู บุช
หรือที่ชัดเจน คือ การเลือกตั้งสหรัฐเมื่อปี 2559 ซึ่ง ฮิลลารี คลินตัน เป็นฝ่ายปราชัย ทั้งๆ ที่ชนะคะแนนนิยมเหนือ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่เธอก็ไปไม่ถึงเก้าอี้ประธานาธิบดี เพราะได้ electoral votes เพียง 232 ในขณะที่ทรัมป์ได้ 306
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม Electoral Vote จึงสำคัญนัก และหากจะลุ้นผลการเลือกตั้งสหรัฐให้เข้าใจ เราจึงต้องรู้จัก Electoral Vote ด้วยนี่เอง