คกก.วัคซีนฯเห็นชอบเพิ่ม "โรคอ้วน"เข้ารับฉีดวัคซีนโควิด-19
"อนุทิน"เชื่อวัคซีนโควิด-19ล็อตแรกเข้าไทยยังทันก.พ. แม้อียูจำกัดส่งออกวัคซีน คกก.วัคซีนฯเห็นชอบเพิ่ม "โรคอ้วน"เข้ารับฉีดวัคซีน ย้ำวัคซีนป้องกันอาการรุนแรง ยังไม่มีรายงานป้องกันแพร่เชื้อ เล็งจัดหาครอบคลุมแรงงานต่างด้าวในไทยด้วย
เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 1/ 2564 ว่า แผนการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศไทยขณะนี้ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยในส่วนของล็อตแรกที่จะเข้ามา 50,000 โดสจากบริษัทแอสตร้าเซเนก้าในเดือน ก.พ.นั้น ขึ้นอยู่กับเรื่องของมาตรการการขนส่งด้วย เนื่องจากขณะนี้สหภาพยุโรป(อียู)จะมีการจำกัดส่งออกวัคซีน ดังนั้นต้องดูว่าล็อตที่จะเข้ามานี้ถูกรวมอยู่ด้วยหรือไม่ หากรวมอยู่ด้วยก็ให้บริษัทไปต่อสู้ให้ประเทศไทย ถึงอย่างไรก็จะเข้ามาภายในเดือนก.พ.นี้ แต่ไม่ได้ระบุว่าเข็มแรกจะฉีดทันวันที่ 14 ก.พ.หรือไม่
"ขอยืนยันว่าไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงานของคณะทำงานจัดหาและฉีดวัคซีนเด็ดขาด ไม่มีแทรกแซงว่าต้องเอาไปฉีดให้พื้นที่นั้น พื้นที่นี้ก่อน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักการแพทย์ โดยทยอยฉีดวัคซีนตามแผนให้ทุกคนในผืนแผ่นดินไทย เพื่อเป้าหมายให้ประเทศไทยปลอดภัย ปลอดโรค ขอย้ำว่า ถึงแม้ฉีดวัคซีนแล้วประชาชนยังต้องคงมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล คือสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ซึ่งถือเป็นวัคซีนส่วนตัวที่มีประสิทธิภาพ"นายอนุทินกล่าว
นพ.โสภณ เมฆธน ประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีน ป้องกันโรคโควิด-19 กล่าวว่า วัคซีนจะฉีดให้กับกลุ่มดังนี้ 1.บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน 2. ผู้มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หัวใจและหลอดเลือด ไตเรื้อรังระยะสุดท้ายขึ้นไป โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งที่ให้เคมีบำบัด รังสีรักษา หรือภูคุ้มกันบำบัด และเบาหวาน และเพิ่มโรคอ้วนที่มีดัชนีมวลกาย 35กิโลกรัมต่อตารางเมตร เพราะในระยะหลังคนที่มีอาการรุนแรงในต่างประเทศพบในคนอ้วนมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติคนอ้วนจะมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจอยู่แล้ว ดังนั้นจึงถือเป็นกลุ่มเสี่ยงด้วย 3.ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และ 4. บุคลากรด่านหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด-19 อาทิ ตำรวจ ทหาร อสม.คนที่ทำงานในรพ.
นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า เมื่อได้รับวัคซีนแล้วจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้หรือไม่นั้นตัดสินได้ยาก เพราะวัคซีนป้องกันการป่วย อาการรุนแรง ยังไม่มีรายงานป้องกันการแพร่เชื้อได้ ดังนั้นจะเอามาตัดสินเรื่องภูมิคุ้มกันหมู่ไม่ได้ แต่ประเทศไทยมีแผนว่าภายในปี 2564 จะกระจายวัคซีนให้กับคนไทยและทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย โดยขณะนี้ได้มีความร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำแผนสื่อสาร สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน ทั้งในแง่ของความปลอดภัย ประสิทธิภาพ คุณภาพในระดับที่เรายอมรับ เพราะการรับวัคซีนป้องกันโควิด-19นั้นเป็นการให้แบบสมัครใจ
แหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า แผนการจัดหาและฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย รวมแรงงานต่างด้าวสัญชาติต่างๆ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาถึงเรื่องงบประมาณเช่นเดียวกัน เพราะกรณีคนไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพตามสิทธิอยู่แล้ว ส่วนแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกกฎหมายก็ไม่มีปัญหาเพราะมีงบประมาณจากประกันสังคม ประกันสุขภาพรองรับอยู่ แต่ที่ยังมีปัญหาคือแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ตรงนี้เป็นหน้าที่ของกรมควบคุมโรคที่ต้องดูแล ซึ่งอาจจะต้องของบประมาณกลางเพิ่ม แต่เรื่องนี้คิดว่าควรต้องให้นายจ้างเป็นคนรับผิดชอบหรือไม่