'ลีซอ' เข้าพบ ปคบ. แจ้งความเอาผิด ดิไอคอน ยันเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่แม่ข่าย
"ลีซอ ธีรเทพ" ควง "กัน จอมพลัง" เข้าพบตำรวจ ปคบ. แจ้งความเอาผิด ดิไอคอน ยืนยันเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่แม่ข่าย ไม่เคยชักชวนลงทุน เปิดบิลเพราะช่วยน้อง สต็อก 10 ลัง ไม่เคยเห็นของ ขณะที่อดีตผู้บริหารเล่า ลงทุนได้เดือนเป็นล้าน แต่เลิกเพราะต้องไปหลอกคนอื่น
วันนี้ (15 ต.ค. 67) กัน จอมพลัง พร้อมด้วย ลีซอ ธีรเทพ วิโนทัย อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย เดินทางมาที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อแจ้งความในฐานะที่เป็นผู้เสียหายของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป
กัน จอมพลัง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีประเด็นของภาพ ลีซอ ที่มีการเผยแพร่พร้อมตั้งคำถามว่า เป็นผู้เสียหายหรือเป็นแม่ทีมกันแน่ ต่อมาเมื่อวานนี้ (14 ต.ค.) ทางภรรยาของลีซอก็มีการเดินทางเข้ามาให้ปากคำไปแล้ว วันนี้ลีซอจึงเดินทางเข้ามาพบกับตำรวจ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ แต่เบื้องต้นของที่ลีซอสต็อกมาไม่ได้ปล่อยออก และยังไม่ได้หาลูกทีม ก็จะเป็นเหมือนคนทั่วๆ ไปที่เปิดดีลเลอร์และไม่ได้ปล่อยของ
นอกจากนี้ในวันนี้ยังพาอีกท่านหนึ่ง ที่เป็นอดีตผู้บริหารของบริษัทดังกล่าวมาด้วย เนื่องจากขณะที่อดีตผู้บริหารดังกล่าว ออกรายการโหนกระแสอยู่นั้น ทางตำรวจได้มีการติดต่อมาว่า อยากได้คนนี้มาให้ปากคำ เนื่องจากคาดว่าบุคคลดังกล่าวจะมีข้อมูลเยอะ
ด้าน ลีซอ ระบุว่า ตนมาแสดงจุดยืนชัดเจนว่าเป็นผู้เสียหาย เนื่องจากไม่ได้มีการส่งต่อหรือหาลูกทีมใดๆ โดยเหตุผลที่ตนไปเจอกับบอสพอล เนื่องจากตนได้รู้จักกับแม่ข่ายคนหนึ่งเป็นการส่วนตัว และก็มีโอกาสพูดคุยกัน โดยเริ่มแรกได้พูดคุยกันในส่วนของที่ตรวจ ATK เพราะภรรยามีการทำธุรกิจเกี่ยวกับ ATK เเม่ข่ายคนดังกล่าว ก็ได้มีการชักชวนให้เข้าไปพูดคุยกันต่อในออฟฟิศ ซึ่งตนคิดว่าจะพูดคุยกันในส่วนของธุรกิจภรรยา จึงเดินทางไปด้วย
แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่า แม่ข่ายคนดังกล่าวพยายามชักชวนและพูดถึงสินค้า รวมไปถึงการลงทุนของดิไอคอน ระหว่างนั้นตนก็ได้พบกับบอสพอล โดยบอสพอลได้มีการขอถ่ายรูปกับตน และตนไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่า คงขอถ่ายเหมือนคนอื่นๆ จึงถ่ายไป ยืนยันว่า ‘ครั้งนั้นเป็นการเจอกันครั้งแรกและครั้งเดียว
หลังจากที่ตนได้ถูกชักชวนและโน้มน้าวจากแม่ข่ายคนสนิท ก็ตัดสินใจร่วมลงทุน เนื่องจากคิดว่าเป็นคนสนิทก็ช่วยๆไป โดยตนได้ลงทุนไปจำนวนเกิน 220,000 บาท เนื่องจากตอนนั้นมีโปรโมชั่น โดยเป็นการสต็อกสินค้าคอลลาเจนจำนวนประมาณ 10 ลัง ซึ่งตนไม่ได้รับของมา เป็นการสต็อกของเอาไว้ที่บริษัท โดยทางด้านฝั่งนั้นให้ความเชื่อมั่นว่าไม่ต้องห่วง เหมือนกับเคสของผู้เสียหายหลายๆ คน ตนไม่เคยขายของออกไป เพราะไม่ได้ตั้งใจจะขายตั้งแต่แรก
และจากที่ตนตรวจสอบทางบริษัท มีการขายสินค้าดังกล่าวผ่านช่องทางออนไลน์ในราคาที่ถูก แต่ขายให้กับดีลเลอร์ในราคาที่ต่างกัน ซึ่งตนมองว่าหากจะขายปลีกก็ขายลำบาก และไม่ใช่เส้นทางของตนจึงไม่ได้มีการริเริ่ม โดยวันที่ตนเข้าไปพบแม่ข่ายคนสนิทที่ออฟฟิศ ซึ่งเป็นน้องของตนนั้น ก็มีรถซูเปอร์จอดอยู่ประมาณหนึ่ง ในตอนนั้นดูเหมือนน่าเชื่อถือ เมื่อตนทราบข่าวก็ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร เพราะเป็นสิ่งที่หากเขาทำก็ต้องยอมรับในเหตุผลที่เขาทำ ในวันนี้ตนก็มาในฐานะผู้เสียหาย เนื่องจากรู้สึกว่าทางบริษัทไม่ได้บอกข้อมูลตนทั้งหมด
“ไม่ได้จะขายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เปิดเพราะมีน้องที่รู้จักกัน เป็นการช่วยซื้อ แต่ไม่มีการไปขายต่อหรือแนะนำต่อ เพราะบ้านเราเป็นคนปากหนักไม่ค่อยปฏิเสธใคร” ส่วนรูปที่ถ่ายไปไม่กังวลที่มีรูปปรากฎในโซเชียลเพราะตนเองไม่ได้ไปทางนั้นอีกเลย และไม่ได้คิดจะไปต่อ พร้อมยอมรับว่า ทุกวันนี้ก็มีการเบิกสินค้ามาบ้าง 2-3 ลัง และที่เหลือยังอยู่ที่บริษัทที่ไม่ได้เบิกมา"
ส่วนเหตุผลตอนที่มีข่าวแล้วไม่ได้ขอเบิกสินค้านั้นเหมือนคนอื่นๆ เพราะตั้งแต่แรกเราก็กะจะช่วยน้องในการลงทุน เลยไม่ได้กล้าที่จะออกไปพูดอะไร พอหลังจากเปิดบิล แล้วรู้สึกไม่โอเคก็ไม่เคยไปยุ่งอีกเลย และไม่ได้รู้สึกเสียดายเงินขนาดนั้น เพราะเรายินยอมเอง
เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับแม่ข่ายคนสนิทเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ ลีซอ ระบุว่า ตนไม่เคยพูดคุยกันเรื่องนี้ แต่พบเจอก็ทักทายกันปกติ ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่ได้ติดใจอะไร
ด้าน กัน จอมพลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกรณีการคืนินให้กับผู้เสียหายในกลุ่มเปราะบาง ที่ติดต่อมายังตนเอง ตอนนี่ได้เงินคืนรวม 4 เคสแล้ว ซึ่งเคสเมื่อวานนี้ มีผู้ป่วยติดเตียงที่เป็นนักกีฬาทีมชาติ จากอุตรดิตถ์ จะเดินทางมา ตนเลยให้ทีมงานเขาประสานมาขอเลขบัญชีของอดีตนักกีฬาทีมชาติ ตอนนี้ ทีมของบอสพอล ก็โอนเงินคืนไปกว่า 280,000 บาทแล้ว ก็ถือว่าจบในเคสนี้ และหวังว่าคนอื่นจะได้นับเงินคืนแบบนี้เช่นกัน
ขณะที่ หนึ่งในอดีตผู้บริหาร บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ที่ลาออกมาแล้ว วันนี้เดินทางมาพร้อมกับ กัน จอมพลัง เพื่อให้ข้อมูลกับตำรวจ ในฐานะที่รู้ระบบการทำงานต่างๆ นั้นให้ข้อมูลสั้นๆ ก่อนเข้าพบตำรวจว่า ตัวเธอเองเริ่มต้นด้วยการสมัครโปร 98 บาท ตั้งแต่ปี 2564 หลังจากนั้นก็เปิดดีลเลอร์ แล้วก็หาลูกทีม ยิงแอดโฆษณา เธอบอกว่า เธอทำแล้วได้เงินจริง มีรายได้ประมาณ 3-4 แสนบาทตั้งแต่เดือนแรก และบางเดือนได้ถึงหลักล้านบาท ทำไปได้ประมาณ 1 ปี จนปี 2565 เธอตัดสินใจถอนตัวออกมาเพราะทำแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ เหมือนเป็นการไปหลอกคน