“พิธา” ปลุกเลือก “ก้าวไกล” ทั้งแผ่นดิน ยกเป็น “พรรคใหญ่” เปลี่ยนโครงสร้างไทย
“พิธา” ปลุกเลือก “ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” ยกระดับเป็น “พรรคใหญ่” เปลี่ยนโครงสร้างประเทศ โชว์วิสัยทัศน์พาไทยอยู่รอดในศตวรรษที่ 21 หลังประสบ “ไตรวิกฤติ” ทั้งพิษโควิด-เศรษฐกิจ-ผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์
เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2565 ที่ อุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต พรรคก้าวไกลจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวในกิจกรรม "เปลี่ยนประเทศไทย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน" ตอนหนึ่งว่า วิสัยทัศน์แบบก้าวไกล เป็นวิสัยทัศน์ที่สืบทอดมาจากพรรคอนาคตใหม่ และสถานการณ์ที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ตอนนี้ไม่ได้ทำให้วิสัยทัศน์แบบอนาคตใหม่เจือจาง ตรงกันข้ามกลับเข้มข้น ซึ่งถ้าจำกันได้ปลายปี 2561 เรามีเวทีสื่อสาร 12 นโยบาย แบ่งเป็น 3 ฐานราก 8 เสาหลัก และ 1 ปักธงประชาธิปไตย และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแม้จะโดนนิติสงคราม โดนไอโอเล่นงาน โดนยุบพรรคและมีการตัดสิทธิ์เพื่อน ส.ส.ของเรา
นายพิธา กล่าวอีกว่า แต่ที่ผ่านมาก็ได้ทำงานที่เคยให้สัญญากับพี่น้องประชาชน อาทิ เดินหน้าทลายรัฐราชการรวมศูนย์ ด้วยการร่วมเสนอแก้รัฐธรรมนูญหมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น, เรื่องรัฐสวัสดิการก็มีการเสนอบำนาญถ้วนหน้า 3,000 บาท การเพิ่มวันลาคลอด การเสนอให้มีตั้งสหภาพแรงงานตาม ILO 87, 98 หรือด้านการศึกษาก็มีการเสนอให้ยกเลิกคำสั่ง คสช.ด้านการศึกษา ขณะที่ในส่วนนโยบายเสาหลักเกี่ยวกับการทลายทุนผูกขาดก็มีการเปิดโปงสัมปทานที่เอื้อนายทุน การขวางการควบรวมของทุนใหญ่ต่างๆ รวมถึงการเสนอ พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ด้านการคมนาคม เช่น เสนอร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางบกปลดล็อกท้องถิ่นสามารถให้บริการขนส่งสาธารณะได้ ด้านเกษตรก้าวหน้า เสนอ พ.ร.บ.ประมง, การเปิดโปงการทุจริตเกี่ยวกับที่ดินจะนะ, ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ ทั่วประเทศ ด้านเปิดเผยข้อมูลรัฐก็มีการเปิดโปงขบวนการไอโอ ป่ารอยต่อ ตั๋วช้าง ขบวนการค้ามนุษย์ เป็นต้น หรือด้านโอบรับความหลากหลายก็มีเสนอ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม, พ.ร.บ. ชาติพันธุ์, พ.ร.บ. สิ่งแวดล้อม
"ขณะที่ด้านปฏิรูปกองทัพ เราเสนอ พ.ร.บ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร มีการตรวจสอบงบประมาณกองทับอย่างเข้มข้นทุกปีในชั้นกรรมาธิการและในสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น ส่วนด้านการปักธงประชาธิปไตย ก็มีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรื้อระบอบสือบทอดอำนาจ การเสอนแก้ ม.116 เสนอแก้ ป.อาญา ม.112 รวมถึงเสนอ พ.ร.บ. ป้องกันการทรมานและทำให้สูญหาย เป็นต้น และนี่คือผลงานบางส่วนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่พวกเราทุกคนตามหากันอยู่ คือสิ่งที่ชนชั้นนำผู้มีอำนาจเผด็จการในประเทศนี้ได้รับจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ไป เขายุบพรรคอนาคตใหม่ แต่กลับได้พรรคก้าวไกลมา และเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับเงินบริจาคมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย นี่คือสิ่งที่เรียกว่า เด็ดดอกไม้ได้แต่หยุดฤดูใบไม้ผลิไม่ได้ และวันนี้ เรามาไกลเกินกว่าที่จะแพ้ สถานการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ยังไม่สามารถที่จะทำให้เราหยุดพักได้ เรายังมีภารกิจในอนาคตอีกมากมาย" นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะที่เรียกว่าไตรวิกฤต มีเรื่องทั้งวิกฤตโรคระบาด วิกฤตด้านเศรษฐกิจ และวิกฤตความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีสงครามมีความขัดแย้งเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งกระทบกับเราอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ที่ผ่านมา หากเราพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เมื่อหลายสิบปีมาแล้วอาจเป็นแค่ทางเลือก แต่จากนี้ไป การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเป็นความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนแปลง ส่วนจะเปลี่ยนแปลงแบบไหนนั้น ในวิสัยทัศน์ของเรานั้น คำตอบไม่สำคัญเท่ากับคำถาม และทุกการเลือกตั้งมีคำถามสังคมซ่อนอยู่เสมอ โดยมีผลของการเลือกตั้งครั้งนั้นคือฉันทามติของสังคม ยกตัวอย่างเลือกตั้งปี 2544 คำถามตอนนั้นคือ ประเทศไทยจะฟื้นจากวิกฤต้มยำกุ้งได้อย่างไร , เลือกตั้งปี 2554 คำถามคือ จะทวงความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงได้อย่างไร , เลือกตั้งปี 2562 คำถามคือ จะยุติระบอบสืบทอดอำนาจ คสช.ได้อย่างไร และสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ในปี 2566 คำถามที่สำคัญคือ จะเปลี่ยนประเทศไทยจริง ๆ ได้อย่างไรให้ประเทศอยู่รอดในศตวรรษที่ 21 และถ้าคิดว่าคำถามนี้ใช่ คำตอบก็คือพรรคก้าวไกล นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า เปลี่ยนประเทศไทยก้าวไกลทั้งแผ่นดิน
"คำว่า เปลี่ยนประเทศไทย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่แค่คำคล้องจอง ไม่ใช่แค่ข้อความพีอาร์ แต่กลั่นกรองมาจากคำถามสำคัญสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง เราจึงขอให้พี่น้องเลือกผู้สมัคร ส.ส.ก้าวไกล ให้เราเข้าไปเป็นพรรคใหญ่ เพื่อที่ยกเลิกเกณฑ์ทหารทำได้ทันที สมรสเท่าเทียมทำได้ทันที สุราก้าวหน้าทำได้ทันที รัฐสวัสดิการทำได้ทันที และประเทศไทยจะสามารถอยู่รอดในศตวรรษที่ 21 ได้นั้น ต้องกระจายไม่กระจุก คือ กระจายอำนาจปลดล็อกท้องถิ่น ต้องจากล่างขึ้นบนไม่ใช่บนลงล่าง เศรษฐกิจใหญ่เลี้ยงรากหญ้าแบบเดิมใช้ไม่ได้อีกแล้ว และต้องจากนอกเข้าในไม่ใช่ในไปนอก นี่คือคุณค่าประเทศ สิทธิมนุษยชน กฎหมาย ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือค่านิยมแบบไทยๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อปลายทางของเราคือกู้ศักดิ์ศรีประเทศไทยให้ยืนอยู่ได้บนเวทีโลก" นายพิธา กล่าว