"เรืองไกร" ชี้ "มีชัย" เบิกความเท็จ ปมเริ่มวาระ8ปี ส่งศาลรธน.ตีตกคำชี้แจง
"เรืองไกร" จับโปะ "มีชัย" ในคำชี้แจงศาลรธน. ปมวาระ8ปี "นายกฯประยุทธ์" ส่งศาลรธน.ไม่รับฟังคำชี้แจง พร้อมพิจารณาเบิกความเท็จ ผิด ป.อาญามาตรา177 หรือไม่
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. เปิดเผยว่า ตนส่งหนังสือถึงประธานศาลรัฐธรรมนูญผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนด่วนพิเศษ เมื่อวันที่ 11 กันยายน เพื่อขอให้พิจารณาความเห็นของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญตามที่ศาลร้องขอ ตามหนังสือที่ 40/2565 ลงวันที่ 24 สิงหาคม เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาคดีวาระดำรงตำแหน่งนายกฯของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กลาโหม ครบ8ปี เมื่อ 24 สิงหาคม 2565 หรือไม่ เนื่องจากในหนังสือคำชี้แจงของนายมีชัย ซึ่งเผยแพร่ผ่านทางสังคมออนไลน์ ซึ่งสรุปว่าการเริ่มนับระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี นั้นให้เริ่มตั้งแต่ 6 เมษายน 2560 นั้น ขัดต่อบันทึกการประชุม กรธ. ครั้งที่ 500 ลงวันที่ 7กันยายน 2561 ที่ระบุความเห็นของนายมีชัย ซึ่งให้เร่ิมนับวาระตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2557
“ประเด็นคำชี้แจง ที่ขัดแย้งกันของนายมีชัย นั้น ถือว่าเป็นการเบิกความเท็จ ต่อศาลหรือไม่ ซึ่งผมเสนอให้ศาลพิจารณา และเสนอด้วยว่าควรตัดประเด็นคำชี้แจงดังกล่าวออกไปจากการพิจารณาคดีด้วย ทั้งนี้นายมีชัย ให้ความเห็นฐานะประธานกรธ. ถือเป็นพยานบุคคลผู้เชี่ยวชาญ และในคำชี้แจงของนายมีชัยที่ระบุว่าบันทึกการประชุมกรธ. ครั้งที่ 500 ไม่มีการรับรอง เจ้าหน้าที่จดไม่ถูกต้อง แต่ต่อมมาพบว่ามีบันทึกการประชุมกรธ. ครั้งที่ 501 วันที่ 11 กันยายน 2561 ซึ่งนายมีชัยร่วมประชุมมได้รับรองบันทึกประชุมครั้งที่ 500 โดยไม่มีการแก้ไข ดังนั้นผมมองว่าหากจะยึดความจริงในประเด็นนับระยะ 8 ปี จึงควรยึดบันทึกการประชุมกรธ. ซึ่งเป็นมติที่กรธ.ที่เข้าประชุมรับรอง” นายเรืองไกร กล่าว
เมื่อถามว่า เชื่อได้อย่างไรว่า เอกสารคำชี้แจงของนายมีชัย นั้นเป็นฉบับจริง เพราะที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญยังไม่เคยยืนยัน นายเรืองไกร กล่าวว่า เพราะศาลรัฐธรรมนูญหรือนายมีชัย ไม่เคยออกมาปฏิเสธว่าเป็นเอกสารไม่จริง อีกทั้งได้ตรวจสอบการลงลายมือชื่อของนายมีชัย แล้ว พบว่าเป็นลายมือชื่อของนายมีชัย และด้วยตำแหน่งของนายมีชัย คือ ประธานกรธ. ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ย่อมถูกตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันคำชี้แจงของนายมีชัย ถือเป้นข้อสำคัญในคดีผมจึงมีสิทธิยื่นให้ตรวจสอบได้ และขอให้ตรวจสอบด้วยว่าคำเบิกความดังกล่าวเข้าข่าผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 ฐานเบิกความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ ทั้งนี้มาตราดังกล่าวถือว่ามีโทษสูง คือ จำคุก5ปี
" เหตุผลที่มองว่าเป็นข้อสำคัญในคดี เนื่องจากเวลาต่อมาศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำสั่งให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯส่งสำเนาบันทึกการประชุมกรธ. และ รายงานการประชุมกรธ. ครั้งที่ 500 และ 501 ให้ศาลพิจารณา อย่างไรก็ดีตนเชื่อว่าหนังสือของตนนั้นศาลจะรับไว้พิจารณา" นายเรืองไกร กล่าว
เมื่อถามว่าเรื่องที่ยื่นต่อศาลดังกล่าวจะทำให้ยื้อการวินิจฉัยคดี8 ปีนายกฯ หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวโดยเชื่อว่าไม่มีผล เพราะสาระสำคัญของตนนั้นคือให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำชี้แจงของนายมีชัยไว้ประกอบพิจารณา ทั้งนี้ศาลยังมีเอกสารที่พิจารณาประกอบในคดีได้คือบันทึกและรายงานการประชุมกรธ. ที่ร้องขอต่อสำนักงานเลขาธิการสภาฯ และคงไม่ถึงขั้นที่เรียกเจ้าหน้าที่ผู้บันทึกการประชุมกรธ.มาเบิกความต่อศาลว่าจดผิดหรือไม่ เพราะในบันทึกกรธ. ครั้งที่ 501 ระบุชัดเจนว่า กรธ. มีมติรับรองบันทึกการประชุมครั้งที่ 500 โดยไม่มีการแก้ไข.