“ก้าวไกล” ไปยะลา ชี้ 19 ปีคุยสันติภาพเหลว ชูเลิก กอ.รมน.-เอาทหารพ้นการเมือง
“ก้าวไกล” รุดยะลา เปิดตัว 3 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต จัดเวทีพูดคุยนโยบายสันติภาพก้าวหน้า ซัด 19 ปีแห่งความล้มเหลว สันติภาพถึงทางตัน ชูเอาทหารออกจากการเมือง-เลิก กอ.รมน. “พิธา” ปลุกเปลี่ยนพื้นที่ความกลัวเป็นความหวัง โยนโจทย์พัฒนา 3 จังหวัดชายแดนใต้
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2565 ที่ จ.ยะลา พรรคก้าวไกลจัดเวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนนโยบาย “สันติภาพก้าวหน้า” นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล น.ส.อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายอันวาร์ อุเซ็ง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ยะลา เขต 1 นายณรงค์ อาแว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ยะลา เขต 3 และนายรอมฎอน ปันจอร์ คณะทำงานนโยบายชายแดนใต้-ปาตานี
นายชัยธวัช กล่าวว่า นับตั้งแต่เหตุการณ์ปล้นปืนที่จังหวัดนราธิวาสเมื่อ 2547 ภาครัฐใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท เพื่อแก้ไขความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนใต้ มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 7,000 คน อีกจำนวนมากบาดเจ็บและสูญหาย เป็นข้อพิสูจน์ว่าวิธีการที่ผ่านมาซึ่งถูกกำกับโดยวิธีคิดแบบทหารนั้นล้มเหลว ดังนั้น ข้อเสนอเพื่อสร้างสันติสุขก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล จะยืนบน 3 หลักการ เรียกว่า ‘3D’ ประกอบด้วย Democratization การสร้างประชาธิปไตยต้องเริ่มต้นจากคนทุกคนเท่ากัน อำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน Demilitarization เอาทหารออกจากการเมือง การแก้ปัญหาในสามจังหวัดภาคใต้ต้องนำโดยพลเรือน เลิกใช้กฎหมายที่เป็นวิธีคิดแบบทหาร เปลี่ยนเป็นมองความมั่นคงของประชาชนเท่ากับความมั่นคงของชาติ และ Decentralization คือกระจายอำนาจ ยกเลิกโครงสร้างรัฐรวมศูนย์ เอาอำนาจและงบประมาณมาอยู่ที่ท้องถิ่น มีอำนาจตัดสินใจออกแบบสังคมที่รองรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม
นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า เราจะนำหลัก 3D มารวมกับนโยบายสันติภาพก้าวหน้า อาทิ (1) ยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ปรับปรุงกฎอัยการศึกทั้งเนื้อหาและขอบเขตการใช้งาน ให้เป็นไปโดยจำกัดเฉพาะยามศึกสงคราม และไม่ให้ถูกนำมาเป็นเครื่องมือละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน (2) ยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพราะใช้มา 19 ปีพิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวและไม่ฉุกเฉินจริง เปลี่ยนเป็น พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ที่จะใช้เมื่อถึงคราวฉุกเฉินจริงๆ ประกาศครั้งหนึ่งไม่เกิน 30 วัน ประกาศแล้วต้องขอให้สภาอนุมัติภายใน 7 วัน เมื่อจะต่ออายุต้องขอสภา รวมถึงไม่ให้อำนาจรัฐบาลในการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร เจ้าหน้าที่ไม่สามารถบุกจับควบคุมตัวประชาชนตามใจชอบ แต่ต้องเปลี่ยนไปใช้กระบวนการปกติ คือ ควบคุมตัวได้ไม่เกิน 48 ชม. และต้องควบคุมในสถานีตำรวจ (3) เอา กอ.รมน. ออกจากกระบวนการจัดการสันติภาพในพื้นที่ และ ยกเลิก กอ.รมน. (4) สร้างกระบวนการสันติภาพที่ยึดประชาชนเป็นตัวตั้ง ให้ประชาชนมีส่วนร่วมและอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ยึดโยงกับสภาผู้แทนราษฎร มีกระบวนการที่โปร่งใส สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกฝ่าย มีการจัดการกองกำลังติดอาวุธ เช่น กองอาสารักษาดินแดน (อส.) ทหารพราน เพื่อลดความขัดแย้ง พร้อมกับรักษาความปลอดภัยของประชาชน
“หลักการสำคัญของนโยบายสันติภาพก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล คือเอาประชาชนเป็นเป้าหมาย เอาทหารออกไป เราหวังว่าพรรคก้าวไกลจะมีโอกาสได้ดำเนินการเรื่องนี้ให้เป็นจริง เพื่อให้พื้นที่ชายแดนใต้ออกจาก 19 ปีแห่งความมืดมน ความล้มเหลว และความรุนแรง เปลี่ยนเป็นพื้นที่แห่งความหวัง ฟื้นฟูศักยภาพ สร้างอนาคตใหม่ของทุกคน” นายชัยธวัช กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า สามจังหวัดชายแดนใต้เป็นดินแดนที่ตนตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรก ทั้งในความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความมีเอกลักษณ์เฉพาะ แต่น่าเศร้าที่นับตั้งแต่ 4 มกราคม 2547 คนจังหวัดชายแดนใต้ต้องอยู่กับความกลัวมาโดยตลอด ทั้งกลัวจะถูกจับ กลัวจะถูกซ้อมทรมาน-อุ้มหาย กลัวความรุนแรง พรรคก้าวไกลเห็นทั้งปัญหาและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในพื้นที่ จึงขอชวนทุกคนร่วมกันจินตนาการถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ใหม่ด้วยความหวัง ว่าถ้าสันติภาพกลับสู่พื้นที่ หน้าตาของสามจังหวัดชายแดนใต้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และนี่คือสิ่งที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้
นายพิธา กล่าวด้วยว่า สามจังหวัดชายแดนใต้มีศักยภาพหลายด้าน ทั้งการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (eco-tourism) ของเอเชีย ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ชายแดนใต้มีศิลปะที่เป็นแบบเฉพาะของตัวเองที่ส่งออกได้ทั่วโลก รวมถึงสร้างอุตสาหกรรมแพะขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีขนาดเล็กกว่าอุตสาหกรรมไก่ 10 เท่า แต่เติบโตมากกว่าอุตสาหกรรมไก่ถึง 10 เท่า มีความต้องการอยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะในหมู่ชาวมุสลิมที่กระจายอยู่ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นให้ได้ก่อน คือการมีการเมืองที่ก้าวหน้า คือการปฏิรูปกองทัพออกจากการเมือง มีรัฐธรรมนูญใหม่ที่เขียนด้วยประชาชนเอง ให้คนสามจังหวัดชายแดนใต้เลือกนายกจังหวัดของตัวเอง ใช้ภาษีที่เก็บจากท้องถิ่นได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แก้ปัญหาพื้นฐานของประชาชนในท้องถิ่นได้เองโดยไม่ต้องรอส่วนกลาง เมื่อนั้นสันติภาพที่ก้าวหน้าจึงจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง และศักยภาพของจังหวัดชายแดนใต้จะได้รับการระเบิดออกมา
“อย่าอยู่กับความกลัว เราต้องอยู่ด้วยความฝันและความหวัง ถ้าทุกคนอยากเห็นสิ่งนี้ ขอให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นครั้งที่สำคัญที่สุด ช่วยกันเลือกผู้สมัครของพรรคก้าวไกล ให้มีมือในสภาพอที่จะผ่าน พ.ร.บ. ต่อต้านการซ้อมทรมาน-อุ้มหายฯ การกระจายอำนาจ สวัสดิการที่ก้าวหน้า และการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่จะปลดปล่อยศักยภาพของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เปลี่ยนจากพื้นที่แห่งความกลัวเป็นพื้นที่แห่งความหวังของพวกเราทุกคน” นายพิธา กล่าว
ส่วนนายรอมฎอน กล่าวว่า กระบวนการเจรจาสันติภาพในปัจจุบัน อยู่ในช่วงยากลำบากและเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ต้องการความมุ่งมั่นทางการเมืองของทุกฝ่าย ที่ผ่านมารัฐบาลทหารและกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ทำให้กระบวนการแก้ไขปัญหาทางการเมืองถึงทางตัน วันนี้จึงต้องการการแก้ไขปรับปรุงเพื่อเดินหน้าหาข้อยุติในการอยู่ร่วมกัน เราเชื่อว่าถ้าประเทศไทยเปลี่ยน กระบวนการสันติภาพก็ต้องเปลี่ยน และพรรคก้าวไกลเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง โดยหลักการพื้นฐานที่ได้วางหมุดหมายไว้ตั้งแต่ครั้งพรรคอนาคตใหม่ คือการมองคุณค่าคนทุกคนเท่ากัน แต่ละคนมีพลังอำนาจในการกำหนดอนาคต ไม่จำเป็นต้องมีการเมืองที่อิงระบบอุปถัมภ์ สิ่งนี้สำคัญมากที่จะทำให้ชายแดนใต้และประเทศไทยไปสู่อนาคต นำมาสู่การพัฒนานโยบายสันติภาพก้าวหน้าซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างนโยบาย 9 เสาหลักของพรรคก้าวไกลและข้อเสนอของคนในพื้นที่ โดยหัวใจของนโยบายนี้ จะล้อไปกับสโลแกนสวยหรูของ กอ.รมน. อย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยเปลี่ยนเป็นลดความมั่งคั่งทางทหาร เพิ่มความมั่นคงทางอาหาร และสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน
ขณะที่ น.ส.อมรัตน์ กล่าวว่า กอ.รมน. ก่อตั้งขึ้นในปี 2508 จากหน่วยงานที่ชื่อว่า “กองบัญชาการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์” ทั้งที่ภัยคุกคามคอมมิวนิสต์จากนอกประเทศหมดไปแล้ว แต่ กอ.รมน. ยังคงอยู่ในฐานะที่เป็น “หน่วยงานพิเศษ” ที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานที่มีที่มาจากทหาร ตรวจสอบไม่ได้ ไม่โปร่งใส ไม่ทันสมัย ที่สำคัญที่สุดคือไม่เข้าใจประชาธิปไตย สิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอ วาระเร่งด่วนคือแก้ไขโครงสร้างของกลาโหมให้มีพลเรือนเข้าไปร่วมตัดสินใจด้วย และในระยะยาว เราเสนอให้ยกเลิก กอ.รมน. ซึ่งจะทำให้เรามีงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกปีละ 10,000 ล้านบาท เพื่อนำงบมาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดสวัสดิการถ้วนหน้าทุกช่วงวัย เพื่ออนาคตที่ดีของคนไทยทุกคน