"ทริปเปิลล็อก" บล็อก "ประยุทธ์" เปิดทางถอดสลัก "เงื่อนตาย 8 ปี"

แนวคิด "ปลดล็อกวาระนายกฯ 8 ปี” ในบทบัญญัติมาตรา 158 วรรคสี่ แห่งรัฐธรรมนูญ ตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการ การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ชุดที่มี “เสรี สุวรรณภานนท์” ส.ว.เป็นประธาน ซึ่งมีการปล่อยออกมาเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

แม้บรรดา ส.ว.ผู้ทรงเกียรติจะอ้างว่า เป็นเพียงแค่ผลการศึกษา ยังไม่ใช่ข้อเสนอที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการเข้าสู่กระบวนการแก้ไข ขณะเดียวกันข้อเสนอดังกล่าวเป็นข้อเสนอที่ทุกพรรคการเมืองได้ประโยชน์ก็ตาม

แต่การเปิดประเด็นในห้วงที่โหมดการเมืองส่งสัญญาณนับถอยหลังสู่วันเลือกตั้งเช่นนี้ ถูกมองว่าไม่ต่างอะไรกับการ “โยนหิน” หวังผลไปที่การเปิดทางให้กับ “ บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ซึ่งล่าสุดประกาศตัวร่วมงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สามารถต่อท่ออำนาจ โดยไม่ติดเงื่อนไขในเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งอีกต่อไป

ต้องไม่ลืมว่า ประเด็นการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ถูกประทับตราโดย “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” 6 ต่อ 3 เสียงไปเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2565 แล้วว่า ให้นับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 6 เม.ย.2560 เท่ากับว่า พล.อ. ประยุทธ์ จะสิ้นสุดวาระในวันที่ 6 เม.ย.2568 หรืออีก 2 ปี นับจากนี้

ฉะนั้น ต่อให้พรรครวมไทยสร้างชาติ จะสามารถรวบรวมเสียงเพื่อดัน พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้า ได้สำเร็จ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็จะกลายเป็น “นายกฯครึ่งเทอม” เท่านั้น

เมื่อเกมโยนหินถามทาง เพื่อปลดล็อกเงื่อนตาย 8 ปี ดันไปเข้าทาง พล.อ.ประยุทธ์ เช่นนี้ สิ่งที่จะต้องจับตาต่อ คือกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ตามแผนน่าจะเกิดขึ้นในช่วงหลังเลือกตั้ง ภายใต้ด่านสำคัญคือ “การใช้เสียง 2 สภา”

เมื่อเจาะลึกลงไปในกระบวนการแก้ไขตามบทบัญญัตติ มาตรา 256 พบว่าชั้นรับหลักการ ในวาระแรก ตามมาตรา256(3) ระบุว่า จะต้องมีเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา โดยจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

ส่วนการพิจารณาในวาระ 2 ตามมาตรา 256(4) เป็นการพิจารณาเรียงลําดับมาตรา โดยให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ

ขณะที่ การลงมติรับหลักการในวาระ 3 ตามมาตรา256 (6) ถือเป็นไฮไลต์สำคัญ เพราะการปลดล็อกประเด็นนายกฯ 8 ปีในด่านสุดท้าย จะต้องเกิดขึ้นภายใต้ 3 ด่าน “ทริปเปิลล็อก” คือ

1. ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

2.จํานวนนี้ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน

3. มีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

 

คำถามคือ เมื่อสัญญาณจากฟากฝั่งการเมือง ออกอาการไม่เอาด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว ด้วยเหตุผลในเรื่องความไม่สมเหตุสมผลในการแก้ไข ทั้งยังสวนทางกับเจตนารมณ์เดิมที่กำหนดวาระ 8 ปี เพื่อสกัดการผูกขาดอำนาจไม่ให้เนิ่นนานจนเกินไป

เช่นนี้ต้องจับตาว่า จะมีพรรคการเมืองใด หรือค่ายการเมืองใดที่กล้าเสี่ยงเป็น “สายล่อฟ้า” รวบรวมเสียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 376 จากทั้งหมด 750 คน(คิดตามจำนวนเต็มของสมาชิก) เพื่อสนับสนุนการแก้ไขที่จะไปเอื้อประโยชน์เฉพาะบางบุคคลหรือไม่

ไม่ต่างจากเสียง “สภาสูง” 1 ใน 3 หรือ 84 เสียงจากสมาชิก 250 คน ท่ามกลางสัญญาณการแยกทางกันเดิน ซ้ำส่อแววไม่ร่วมกันตีของ “พี่น้อง 2 ป.” ขณะที่บรรดาองคาพยพยามนี้ ต่างฝ่ายต่างชิงเกม หวังสานฝันดัน“นาย”ของตนเองขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้าให้จงได้

จุดนี้แม้แต่ฝั่ง ส.ว.ก็ยังยอมรับว่า การเมืองรอบหน้าเสียง ส.ว.ก็จะถูกแบ่งออกเป็น 2 สายตามไปด้วย

ฉะนั้น ความพยายามในการเปิดทางไปสู่การถอดสลัก “เงื่อนตาย 8 ปี” ที่กำลังดำเนินอยู่ ณ เวลานี้ ถึงเวลาจริงอาจต้องไปลุ้นหลายด่านซูเปอร์ล็อก รวมถึงกลเกมการเมืองที่รออยู่เบื้องหน้า!